กทม.ประสาน‘ทร.’ขอเรือ12ลำ
ดันน้ำลงอ่าวไทย
แก้วิกฤตท่วมลุ่มเจ้าพระยา7จว.
เตือน14จว.กลาง-ตอ.-ใต้
‘น้ำป่าหลาก-จมฉับพลัน’
อ่างทองท่วมหนักหลายจุด
อยุธยายังจมบาดาล3อำเภอ
ปภ.เตือน 14 จังหวัดภาคกลาง ตะวันออก และใต้ เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำไหลหลาก-ล้นตลิ่ง ท่วมพื้นที่ 6-10 ตุลาคมนี้ ด้านอุตุฯเผยฝนถล่มซ้ำ 32 จังหวัดทั่วไทย กทม.ฝนตกร้อยละ 60 มวลน้ำเจ้าพระยาล้นตลิ่งท่วมอ่างทอง ส่วน 3 อำเภอในกรุงเก่ายังหนัก ขณะที่ผู้ว่าฯกทม.ประสานทัพเรือเร่งผลักดันน้ำ
เมื่อวันที่ 7ตุลาคมกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในฐานะกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) รับแจ้งจากกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ว่าได้ประเมินสถานการณ์น้ำจากฝนคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) พบว่ามีพื้นที่เสี่ยงฝนตกหนัก เฝ้าระวังน้ำไหลหลาก และน้ำท่วมฉับพลัน ในช่วงระหว่างวันที่ 6–10 ตุลาคม 2564 ดังนี้พื้นที่เฝ้าระวังน้ำหลาก ดินถล่ม และน้ำท่วมฉับพลัน ได้แก่ กาญจนบุรี ราชบุรี จันทบุรี ตราด เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูลพื้นที่เฝ้าระวังน้ำล้นตลิ่งบริเวณที่ลุ่มต่ำริมลำน้ำ ได้แก่ บริเวณแม่น้ำเพชรบุรี จ.เพชรบุรี ลำตะเพินจ.กาญจนบุรี และแม่น้ำตาปี จ.สุราษฎร์ธานี
ปภ.สั่งจับตาผลกระทบน้ำล้นอ่าง
สำหรับพื้นที่เฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณน้ำมากกว่าร้อยละ 80 ของความจุ เสี่ยงน้ำล้นทางระบายน้ำล้น จนอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่บริเวณท้ายน้ำ ได้แก่ อ่างเก็บน้ำลำตะเพิน อ่างเก็บน้ำพุตะเคียน จ.กาญจนบุรี อ่างเก็บน้ำห้วยมะหาด จ.ราชบุรี อ่างเก็บน้ำห้วยไทรงาม จ.ประจวบคีรีขันธ์ อ่างเก็บน้ำคลองหยา และอ่างเก็บน้ำคลองแห้ง จ.กระบี่
เผยเกิดอุทกภัยแล้วรวม32จังหวัด
ปภ.รายงานสถานการณ์อุทกภัยจากอิทธิพลพายุ ‘เตี้ยนหมู่’ ช่วงวันที่ 23 กันยายน-7 ตุลาคม 2564 ว่าได้เกิดอุทกภัยขึ้นใน 32 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตาก สุโขทัย พิษณุโลก เพชรบูรณ์ พิจิตร กำแพงเพชร เลย ขอนแก่น ชัยภูมิ ยโสธร นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ปราจีนบุรี สระแก้ว จันทบุรี นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และนครปฐม รวม 210 อำเภอ 1,133 ตำบล 7,628 หมู่บ้าน 1 เขตเทศบาล ประชาชนได้รับผลกระทบ 299,704 ครัวเรือน และมีผู้เสียชีวิต 9 ราย
ยังคงมีสถานการณ์ใน16จังหวัด
ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายแล้ว 16 จังหวัด ยังคงมีสถานการณ์ 16 จังหวัด รวม 70 อำเภอ 380 ตำบล 1,923 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 99,342 ครัวเรือน ได้แก่ สุโขทัย พิษณุโลก ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา อุบลราชธานี นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี
ภาพรวมสถานการณ์ปัจจุบันหลายพื้นที่เริ่มคลี่คลายแล้ว แต่ยังมีน้ำท่วมขังพื้นที่ลุ่มต่ำ ซึ่งอยู่ระหว่างเร่งระบายน้ำ ซึ่ง ปภ.ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยสำรวจและประเมินความเสียหาย เพื่อดำเนินการช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังต่อไป
อุตุฯเตือนฝนถล่มภาคกลาง-ใต้
ขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ว่ามรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังค่อนข้างแรง ประกอบกับพายุดีเปรสชั่นบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้ โดยมีฝนตกหนักมากบางแห่งในภาคใต้ฝั่งตะวันตก
ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยดังกล่าว ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันน้ำป่าไหลหลากสำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังแรงขึ้น โดยทะเลอันดามันคลื่นสูง 2-3เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงกว่า 3 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร และบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงกว่า 2 เมตร ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือและหลีกเลี่ยงบริเวณที่ฝนฟ้าคะนอง ส่วนเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันควรงดออกจากฝั่ง
กทม.-ปริมณฑลฝนตกร้อยละ60
ส่วนพยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ40 ของพื้นที่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ40ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35กิโลเมตร/ชั่วโมง ทะเลมีคลื่นสูง1-2เมตร บริเวณที่ฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงกว่า 2เมตร ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ70ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-40 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่ฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงกว่า 3เมตร กทม.และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60ของพื้นที่ และฝนตกหนักบางแห่ง
แม่น้ำเจ้าพระยาเอ่อท่วมอ่างทอง
ด้านสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ต่างๆ ที่ จ.อ่างทอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริเวณคลองบางศาลา ติดถนนสายเอเชีย หมู่ 2 ต.ชัยฤทธิ์ อ.ไชโย มวลน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา ได้เอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนชาวบ้าน และท่วมทางหลวงชนบท อ่างทอง-ไชโย ลงสู่คลองชลประทาน ส่งผลให้คันคลองชลประทานขาด ก่อนที่น้ำจะไหลเข้าพื้นที่หมู่ 4 ต.จระเข้ร้อง ท่วมบ้านพัก ทุ่งนา และรอยต่อพื้นที่หมู่ 3 ต.ชัยฤทธิ์ ต.จระเข้ร้อง ด้วย ซึ่งน้ำที่เอ่อท่วมดังกล่าว ทำให้รถยนต์ไม่สามารถกลับรถที่ถนนสายเอเชีย ใต้สะพานที่มีน้ำท่วมสูงกว่า 1 เมตร โดยมวลน้ำจะไหลจากคลองบางศาลา ไปยังทุ่งหนองแมว อ.มหราช จ.พระนครศรีอยุธยา ต่อไป
เร่งกั้นแนวกระสอบทรายป้องกัน
นายสมนึก ดวงประทีป ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2ต.ชัยฤทธิ์ อ.จระเข้ร้อง เผยว่า มวลน้ำดังกล่าวได้ไหลเข้าท่วมพื้นที่รอยต่อหมู่ 4 และหมู่ 2 ต.ชัยฤทธิ์ อ.จระเข้ร้อง กว่า 70 หลังคาเรือน รวมถึงทางหลวงชนบท จนคันดินพังทลาย น้ำได้เอ่อล้นถนนสายเอเชีย ซึ่งขณะนี้ได้เร่งกั้นแนวกระสอบทรายเพื่อไม่ให้น้ำเข้าท่วมขยายวงกว้างออกไป แม้ว่ามวลน้ำยังไหลตามคลองบางศาลา ท่วมบ้านเรือนประชาชนอีกบางส่วนในพื้นที่หมู่ 6 ต.ชัยฤทธิ์ อ.จระเข้ร้อง ก็ตาม
แม้น้ำลพบุรีท่วม3อำเภอที่กรุงเก่า
ส่วนที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเริ่มทรงตัว หลังจากเขื่อนเจ้าพระยาลดการระบายน้ำลงสู่ท้ายเขื่อนและน้ำได้เปลี่ยนทิศทางเนื่องจากทะลักล้นแนวคันกั้นน้ำ ที่ อ.ไชโย จ.อ่างทอง ส่งผลให้มวลน้ำไหลลงสู่แม่น้ำลพบุรี เข้าท่วมบ้านเรือนริมแม่น้ำใน อ.บ้านแพรก อ.มหาราช และอ.บางปะหัน ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ยังเข้าท่วมหมู่บ้านช้างเพนียดหลวง ต.สวนพริก อ.พระนครศรีอยุธยา ควาญช้างต้องทำแนวกั้นน้ำ และย้ายลูกช้าง รวมถึงช้างใหญ่ให้ไปอยู่ในพื้นที่สูงของเพนียด
เพนียดเตรียมย้ายช้างหากน้ำท่วม
อย่างไรก็ดี ขณะนี้ช้างยังอยู่ภายในเพนียด แต่หากระดับน้ำสูงขึ้นอีก ก็จำเป็นต้องย้ายไปอยู่ในที่สูงด้านนอกเพนียด ซึ่งน้ำที่เอ่อล้นตลิ่งครั้งนี้ ทำให้ชาว ต.สวนพริก ต่างได้รับผลกระทบอย่างมาก เนื่องจากรับน้ำทั้งจากแม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำลพบุรี บ้านเรือนบางหลังน้ำท่วมสูงจนไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ต้องขนย้ายข้าวของไปอาศัยบนถนนชั่วคราว นอกจากนี้น้ำในทุ่งต่างๆ ใน จ.พระนครศรีอยุธยา ปริมาณน้ำก็เต็มทุ่ง
บิ๊กตู่ควงอนุพงษ์ตรวจเมืองคอน
เวลา 11.00 น.วันเดียวกัน ที่ ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) กทม. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้เดินทางไปตรวจราชการที่ จ.นครศรีธรรมราช โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) ร่วมคณะ
นายกฯรับฟังสรุปสถานการณ์น้ำ
ทั้งนี้ นายกฯ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยังวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร วัดคู่บ้านคู่เมือง จ.นครศรีธรรมราช เพื่อสักการะพระบรมธาตุเจดีย์ และถวายเครื่องไทยธรรม จตุปัจจัยแด่พระเทพวินยาภรณ์(สมปอง ปัญญาทีโป) เจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุฯ และรองเจ้าคณะภาค 16-17-18 เจ้าอาวาส ก่อนจะไปติดตามการบริหารจัดการน้ำในเขตเทศบาลนครศรีธรรมราช โดยจุดแรกนายกฯ เดินทางไปยังสะพานคลองหน้าเมือง ต.ปากนคร รับฟังรายงานสรุปสถานการณ์ จากนั้นได้ตรวจแผนการป้องกันอุทกภัยและการบริหารจัดการน้ำ ที่ถนนพุทธภูมิ แล้วเดินทางต่อไปยังศูนย์ดิจิทัลชุมชน ต.มะม่วงสองต้น อ.เมืองนครศรีธรรมราช เพื่อเปิดศูนย์ฯและมอบทุนการศึกษา รวมทั้งพบปะกับประชาชน ก่อนเดินทางกลับ
‘อัศวิน’ประสานใช้เรือผลักดันน้ำ
วันเดียวกัน ที่ท่าเรือข้ามฟากพระประแดง-พระราม 3 พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม.พร้อมด้วย พล.ร.ท.ปกครอง มนธาตุผริน เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารเรือ และคณะ เข้าตรวจจุดใช้เรือผลักดันน้ำของกองทัพเรือ บริเวณประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ รอยต่อระหว่าง กทม.และ จ.สมุทรปราการ เพื่อเร่งระบายน้ำเหนือจากแม่น้ำเจ้าพระยาออกสู่อ่าวไทย
พล.ต.อ.อัศวิน กล่าวว่า ได้ประสานกองทัพเรือ เพื่อขอสนับสนุนเรือผลักดันน้ำ 10 ลำ แต่เจ้ากรมกิจการทหารเรือ เพิ่มให้เป็น 12 ลำ ซึ่งการใช้เรือผลักดันน้ำไม่ได้ช่วยแค่พื้นที่ กทม.แต่เป็ฯการช่วยประชาชนตั้งแต่ใต้เขื่อนเจ้าพระยา หลายจังหวัด ก่อนที่น้ำจะไหลผ่าน กทม.ซึ่งยิ่งผลักดันน้ำลงอ่าวไทย ได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งระบายน้ำที่อยู่จังหวัดตอนเหนือ กทม.ได้มากเท่านั้น โดยจริงแล้วกองทัพเรือยังมีเรืออีก แต่คิดว่า 12 ลำนี้มีศักยภาพเพียงพอแล้วที่จะผลักดันน้ำ เราดำเนินการก่อนไม่ต้องรอให้น้ำท่วมแล้วค่อยทำ
ชลประทานปากน้ำยันยังไม่ท่วม
น.อ.อัศนัย นรินรัตน์ หัวหน้าชุดปฏิบัติการเฉพาะกิจผลักดันน้ำ กล่าวว่า เรือผลักดันน้ำมีทั้งหมด 12 ลำ ซึ่งจะช่วยเร่งการระบายน้ำที่ไหลช้าในช่วงที่เปิดประตูระบายน้ำ โดยเรือ 1 ลำ สามารถเร่งระบายน้ำได้ 100,000 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)/วัน หากเดินเครื่องเต็มกำลังทั้ง 12 ลำ จะระบายน้ำได้วันละ 1.2 ล้าน ลบ.ม.
ขณะที่ นายสืบสกุล แสนเตปิน หัวหน้าฝ่ายส่งน้ำและบำรุงรักษาที่ 1 โครงการชลประทานสมุทรปราการ กล่าวว่า ได้เปิดประตูระบายน้ำ ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งระบายไปแล้วกว่า 600ล้านลบ.ม.ส่วนระดับน้ำที่ไหลผ่านมีประมาณ 3,000 ลบ.ม./วินาที ซึ่งถือว่าเป็นระดับวิกฤต แต่ยังไม่ท่วม โดยระดับที่จะล้นตลิ่งจริงๆ อยู่ที่ 3,500 ลบ.ม./วินาที โดยพื้นที่มีน้ำท่วมเป็นบริเวณหลังคันกั้นน้ำ ขณะนี้ได้เบี่ยงน้ำออกทางคลองลัดโพธิ์ ระยะความกว้างที่ 65 เมตร มีการควบคุมความเร็วน้ำ 1 เมตร/วินาที และควบคุมปริมาณที่ 100 ลบ.ม./วินาที
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี