“ตรีนุช” กดปุ่มนำร่องใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะใน 265 โรงเรียน 8 จังหวัด เริ่ม ป.1-ป.3 ภาคเรียนที่2/2564 ตั้งเป้าปี 67 ใช้ครอบคุมทุกโรงเรียน “วรากร” ชี้หากไม่แก้ปัญหาการศึกษา ปัญหาอื่นจะตามมา
วันที่ 11 ตุลาคม 2564 ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.)ในฐานะประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาจัดทำและพัฒนา(ร่าง)หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.....(หลักสูตรฐานสมรรถนะ) ได้เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการนำร่อง การใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา 8 จังหวัด จำนวน 265 โรงเรียน ทั้งสังกัด สพฐ.-สช.-อปท. เริ่ม ป.1-ป.3 ภาคเรียนที่ 2/2564 และ เปิดตัวเว็บไซต์ cbethailand.com (Competency - based Education) ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตรฐานสมรรถนะ โดยมี รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา หลักสูตรสมรรถนะกรอบแนวทางและช่องทางการรับฟังเสียงของผู้เกี่ยวข้องสู่การพัฒนา ดร.สิริกร มณีรินทร์ ประธานคณะกรรมการจัดทำและพัฒนากรอบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เข้าร่วม
โดย นางสาวตรีนุช เทียนทอง กล่าวตอนหนึ่งในการเป็นประธานเปิดโครงการนำร่องฯ ว่า ตนได้เข้ามารับหน้าที่เป็น รมว.ศธ.และได้แถลง 12 นโยบายด้านการจัดการศึกษา และ 7 วาระเร่งด่วน (Quick Win) ของ ศธ. ซึ่งเรื่องการปรับปรุงหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ให้ทันสมัย สู่การเรียนรู้ฐานสมรรถนะ เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 และเหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย ครอบคลุมการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัยไปจนถึงระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ (Big ROCK) ด้านการศึกษาการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นอีกก้าวหนึ่งในการปฏิรูปการศึกษา ที่มุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และปฏิรูประบบการศึกษา ให้มีประสิทธิภาพ สามารถรองรับความหลากหลายของการจัดการศึกษา และตอบโจทย์การพัฒนาของโลกอนาคต โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้เรียนทุกกลุ่มวัยได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน มีทักษะที่จำเป็นของโลกอนาคต สามารถแก้ปัญหาการปรับตัว การสื่อสาร และการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิผล มีวินัย มีนิสัยใฝ่เรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต และเป็นพลเมืองที่รู้สิทธิและหน้าที่ มีความรับผิดชอบ มีจิตสาธารณะ มีความรักความภาคภูมิใจในความเป็นไทย และรู้คุณค่าของประวัติศาสตร์
“วันนี้การเปิดโครงการนำร่องการใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ ในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จำนวน 265 โรงเรียน ใน 8 จังหวัด ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมด้านหลักสูตรการศึกษาที่ยืดหยุ่น ตอบสนองต่อความถนัดและความสนใจของผู้เรียนรายบุคคล ซึ่งจะนำไปสู่แผนการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้ได้รับการพัฒนาศักยภาพในการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning และแผนอื่น ๆที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการในวันนี้จะมีส่วนช่วยเปลี่ยนผ่านการศึกษาแบบเดิม ไปสู่การพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน เปลี่ยน ‘ห้องเรียน’ เป็น ‘ห้องเรียนรู้’ ที่ผู้เรียนเข้าใจ ทำเป็น เห็นผลลัพธ์ และเด็กทุกคนมีโอกาสในการค้นพบเป้าหมายของตนเอง นำไปสู่ความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป อย่างไรก็ตาม ตามแผนจะใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะพร้อมกันทุกโรงเรียน แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 จึงมีแผนว่าภายในปี 2567 จะใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะให้ครอบคุมไปในทุกพื้นที่ ขณะเดียวกันที่มีการนำร่องก็จะมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ด้วย” รมว.ศธ. กล่าว
ด้าน รศ.ดร.วรากรณ์ กล่าวว่า การปฏิรูปการศึกษามีเป้าหมายตามที่ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวไว้ คือ อยากให้ผู้เรียนทุกกลุ่มวัยรับการศึกษาที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน มีทักษะที่จำเป็นของโลกอนาคต สามารถแก้ปัญหา ปรับตัว สื่อสาร และทำงานร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีประสิทธิผล มีวินัย มีนิสัยใฝ่เรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต และเป็นพลเมืองที่รู้สิทธิหน้าที่ มีความรับผิดชอบและมีจิตสาธารณะ นี่คือเป้าหมายของการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธ์ศาสตร์ชาติที่จะต้องทำให้สอดรับกัน วัตถุประสงค์ของการปฏิรูปการศึกษา มี 5 เรื่องใหญ่ (Big ROCK) คือ 1. ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษา ตั้งแต่ปฐมวัย ซึ่งทำสำเร็จแล้ว คือการตั้งกองทุน กสศ.ที่ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งแล้ว 2. พัฒนาระบบการเรียนการสอนสู่สมรรถนะ เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงใน ศตวรรษ ที่ 21 ซึ่งก็เกี่ยวข้องกับหลักสูตรฐานสมรรถนะที่ทำในวันนี้ ทำอย่างไรจะพัฒนาระบบการเรียนการสอนที่สมัยในศตวรรษต่อไป 3. ยกระดับคุณภาพด้วยการสร้างระบบและพัฒนาการผลิตครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีคุณภาพ 4.เพิ่มขีดความสามารถด้านอาชีวศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และ 5. ปฏิรูปบทบาทการวิจัยและบทธรรมาภิบาลของการอุดมศึกษา เพื่อการพัฒนาประเทศไทย
รศ.ดร.วรากร กล่าวต่อว่า การพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะ อยู่ที่หัวใจของการปฏิรูปการศึกษาทั้ง 5 ด้านแล้ว ซึ่งโอกาสและความเสมอภาค ถ้าเราไม่มีการพัฒนาหลักสูตรที่ทันสมัย เนื่องจากหลักสูตรเดิมใช้มาแล้ว 13 ปี แม้จะเป็นหลักสูตรที่ดี แต่โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย ซึ่งหลักสูตรเดิมเราตั้งขึ้นมาเพื่อให้ผู้เรียนรู้อะไร แต่โลกเปลี่ยนแปลงไปว่า ทำอะไรได้ ดังนั้น หลักสูตรก็ต้องเปลี่ยนแปลงเป็นต้องรู้ด้วย และทำได้ด้วย ซึ่งทักษะ 4 อย่าง ของศตวรรษ ที่ 21 ในหลักสูตรฐานสมรรถนะ ชัดเจนมากในเรื่องของ คิดเป็น สื่อสารเป็น ร่วมมือกับผู้อื่นได้ และมีความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งทั้ง 4 อย่างนี้จะอยู่ในหลักสูตรฐานสมรรถนะ เมื่อผู้เรียนมี 3 อย่างคือ มีความรู้ มีทักษะ มีเจตคติ ก็จะเกิดสมรรถนะ ดังนั้น เมื่อหลักสูตรให้มีความรู้ด้วย ทำเป็นด้วย เด็กก็จะคิดเป็น เมื่อคิดเป็นก็จะสื่อสารเป็น มีความสามรรถร่วมมือกับคนอื่นได้ และมีความคิดสร้างสรรค์
“ส่วนตัวผมดีใจมากที่มีวันนี้ ประเทศไทยเราถึงจุดที่มีปัญหาในเรื่องของคน ผมในฐานะนักเศรษฐศาสตร์พูดได้เต็มปากว่า ถ้าเราไม่แก้ปัญหาการศึกษาของเรา ปัญหาอื่นๆจะตามมาและจะทำให้ลำบากมาก เศรษฐกิจประเทศไทยไม่อยู่ในฐานะมั่นคงกว่านอกประเทศ โอกาสทางการแข่งขันมีปัญหามากขึ้นทุกที ถ้าเราทำให้การศึกษามีคุณภาพจะลดความเหลื่อมล้ำ ผู้เรียนคิดเป็น ทำเป็น เพิ่มความสามารถของอาชีวะ การอุดมศึกษาจัดหลักสูตรมีคุณภาพก็ผลิตผู้เรียนมีคุณภาพ ซึ่งหลักสูตรฐานสมรรถนะนี้ ได้ทำการวิจัยและทดลองในโรงเรียนมาแล้ว จะทำให้เห็นว่าคนไทยเรียนภาษาอังกฤษมา 12 ปี แต่ไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ แต่หลักสูตรฐานสมรรถนะ จะทำให้ผู้เรียนสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษกับต่างประเทศได้” รศ.ดร.วรากร กล่าว
ขณะที่ ดร.อัมพร พินะสา กล่าวว่า จากสถานการณ์ของโลกในศตวรรษที่ 21 วิทยาการต่างๆ มีความเจริญก้าวหน้าและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา(ฉบับปรับปรุง) ที่กำหนดให้กิจกรรมปฏิรูปที่ 2 การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนสู่การเรียนรู้ฐานสมรรถนะ ซึ่งมีเป้าหมายให้ผู้เรียนทุกระดับเป็นผู้มีความรู้ มีทักษะ และใฝ่เรียนรู้ตลอดชีวิต มีทักษะในการดำรงชีวิตในโลกยุคใหม่ รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคมและโลก เป็นพลเมืองที่ตื่นรู้ มีความรับผิดชอบ และมีจิตสาธารณะ โดย สพฐ.ได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพัฒนา (ร่าง) กรอบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้เป็นหลักสูตรฐานสมรรถณะ มาตั้งแต่ปี 2562 ต่อมา รมว.ศธ. (นส.ตรีนุช เทียนทอง) ได้กำหนดให้หลักสูตรฐานสมรรถนะ เป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วน มีการแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการจัดทำและพัฒนาฯหลักสูตรฐานสมรรถนะ และเปิดรับฟังความคิดเห็น โดยจัดเวทีระดมสมอง 12 ครั้งเวที ซึ่งจัดไปแล้วจำนวน 5 ครั้ง โดยแต่ละครั้งมีผู้ที่สนใจเข้าร่วมมากกว่า 11,000 คน และจัดเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถาม โดยเปิดรับความคิดเห็นผ่านช่องทางสื่อโซเชียลมีเดียของ ศธ. และเว็ปไซต์หลักสูตรฐานสมรรถนะ เว็บไซต์ https://cbethailand.com
“การทดลองใช้หลักสูตรในโรงเรียนนำร่องที่เข้าร่วมโครงการวิจัยในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจำนวน 265 โรงเรียน จาก 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ กาญจนบุรี ศรีสะเกษ ระยอง สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ในครั้งนี้ประกอบด้วย โรงเรียนในสังกัด สพฐ.จำนวน 226 โรงเรียน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) จำนวน 17 โรงเรียน และ สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)จำนวน 22 โรงเรียน โดยทั้ง 265 โรงเรียนเริ่มใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในช่วงชั้นที่ 1 คือ ป.1-ป.3 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ แล้วค่อยขยายไปช่วงชั่นที่ 2 ในปีการษึกษา 2565 ซึ่งการจะนำหลักสูตรไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับผู้เรียน คนที่จะขับเคลื่อนหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพคือผู้บริหารโรงเรียนและครู ดังนั้น สพฐ. จะจัดทำคู้มือการใช้หลักสูตรให้เหมาะกับบริบทของสถานศึกษา และอบรมพัฒนาผู้บริหารและครูโรงเรียนนำร่องหลักสูตรต่อไป และนิเทศก์หลังการใช้หากมีปัญหาอุปสรรคก็แก้ไขปรับปรุง และทำความเข้าใจกับผู้ปกครองนักเรียนถึงการเปลี่ยนแปลงของหลักสูตรด้วย” ดร.อัมพร กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี