เตือนอีสานรับฝนตกหนัก
ฤทธิ์พายุ‘คมปาซุ’
ตราด-ปราจีนบุรีท่วมแล้ว
กรมชลฯสั่ง16จว.เฝ้าระวัง
เสี่ยงดินถล่ม/อ่างเก็บน้ำล้น
โคราชผวา4ลุ่มน้ำเอ่อทะลัก
ปภ.เผยยังน้ำท่วม11จังหวัด
ปภ.เผย 11 จังหวัดยังน้ำท่วมอยู่ กรมอุตุฯประกาศ เตือนพายุ“คมปาซุ”ทำฝนตกหนักอีสาน ทั่วไทยยังมีฝน ด้านกรมชลฯ สั่ง 16 จังหวัด เตรียมรับมือน้ำล้นตลิ่ง อ่างเก็บน้ำเสี่ยงล้น ดินถล่ม ขณะที่ ตราดวิกฤต จมบาดาล-น้ำทะเลหนุน ส่วนปทุมธานีน้ำท่วมยังหนัก พระต้องย้ายสัตว์หนีน้ำ ผู้ว่าฯโคราช หวั่น 4 ลุ่มน้ำเกิดน้ำล้น ด้านบิ๊กป้อม ลงพื้นที่ขอนแก่น 14 ตุลาคมนายกฯลงตรวจอุบลฯ 15 ตุลาคม
เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในฐานะกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) รายงานอิทธิพลพายุ‘เตี้ยนหมู่’ซึ่งเคลื่อนตามแนวร่องมรสุมปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน-7 ตุลาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากใน 33 จังหวัด224 อำเภอ 1,189 ตำบล 8,099 หมู่บ้าน 1 เทศบาล ประชาชนได้รับผลกระทบ 331,440 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 14 ราย (ลพบุรี 11 ราย เพชรบูรณ์ 2 ราย ชัยนาท 1 ราย)
ปภ.เผยน้ำท่วมยังกระทบ11จว.
ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายแล้ว 22 จังหวัด (เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง พิจิตร เพชรบูรณ์ ตาก สุโขทัย พิษณุโลก กำแพงเพชร บุรีรัมย์ นครปฐม ยโสธร สุรินทร์ เลย ศรีสะเกษ สระแก้ว จันทบุรี ปราจีนบุรี ชัยนาท อุทัยธานี ชัยภูมิ อุบลราชธานี) ยังคงมีสถานการณ์น้ำท่วม 11 จังหวัด รวม 48 อำเภอ 319 ตำบล 1,765 หมู่บ้าน 92,107 ครัวเรือน ได้แก่ ขอนแก่น มหาสารคาม นครราชสีมา นครสวรรค์ ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี
ภาพรวมสถานการณ์คลี่คลายในหลายพื้นที่ แต่ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำ อยู่ระหว่างเร่งระบายน้ำซึ่งปภ.ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยสำรวจและประเมินความเสียหาย เพื่อดำเนินการช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลัง
อุตุฯชี้พายุคมปาซุทำฝนตกหนัก
ด้านนายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา ฉบับที่ 6 เรื่องพายุโซนร้อนกำลังแรง ‘คมปาซุ’ บริเวณทะเลจีนใต้ มีความเร็วสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตก ด้วยความเร็วประมาณ 35 กิโลเมตร/ชั่วโมง คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนช่วงวันที่ 13-14 ตุลาคมนี้ จากนั้นจะอ่อนกำลังลงตามลำดับ ลักษณะเช่นนี้จะทำให้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ทะเลอันดามัน-อ่าวไทยคลื่นแรง
อนึ่ง ร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนคลื่นลมทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังแรง โดยทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร อ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในระยะนี้
อีสานมีฝนตกร้อยละ80ของพื้นที่
สำหรับพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า กรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง บริเวณ จ.หนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี สกลนคร นครพนม กาฬสินธุ์ มุกดาหาร ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ส่วนภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 80 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง บริเวณ จ.นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด
กรมชลฯสั่ง16จว.เฝ้าระวังน้ำล้น
นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่าจากการประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่องพายุโซนร้อนกำลังแรง ‘คมปาซุ’ซึ่งจะทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนตกหนักถึงหนักมาก ประกอบกับช่วงวันที่ 12-16 ตุลาคมนี้ ร่องมรสุมจะพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง โดยมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรง ทำให้ภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนตกหนักถึงหนักมาก
ทั้งนี้ กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ(กอนช.)ประเมินและวิเคราะห์สถานการณ์น้ำจากฝนคาดการณ์ (ONE MAP)พบว่ามีพื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวังระดับน้ำล้นตลิ่งและดินถล่ม ช่วงวันที่13–20 ตุลาคมนี้ ประกอบด้วย จ.บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ พระนครศรีอยุธยา สระบุรี ลพบุรี สุพรรณบุรี นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว จันทบุรี ตราด กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ระนอง และพังงา
หวั่นพายุ‘คมปาซุ’ทำอ่างเก็บน้ำล้น
ขณะที่การเฝ้าระวังระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางที่มีปริมาณน้ำมากกว่าร้อยละ 80 มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เสี่ยงน้ำล้น กระทบบริเวณพื้นที่ท้ายอ่างจากการตรวจสอบพบว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ จ.นครราชสีมา สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และสกลนคร ภาคตะวันออก ที่ จ.นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ภาคกลาง ที่ จ.นครสวรรค์ ลพบุรี และสระบุรีภาคตะวันตก จ.กาญจนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี เพื่อเป็นการเตรียมพร้อม จึงให้โครงการชลประทานพื้นที่เสี่ยง เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่มีฝนตกสะสมกว่า 90 มิลลิเมตร และจุดที่เกิดน้ำท่วมขังเป็นประจำ
สั่งปรับแผนบริหารจัดการน้ำรับมือ
พร้อมกันนั้น ได้ปรับแผนบริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำที่มีปริมาณมากกว่าร้อยละ 80 หรือเกณฑ์ควบคุมสูงสุด ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ พิจารณาปรับการระบายน้ำเพื่อรองรับปริมาณน้ำที่จะเพิ่มขึ้น และเร่งระบายน้ำในลำน้ำ แม่น้ำ รวมทั้งใช้พื้นที่ลุ่มต่ำเป็นแก้มลิงหน่วงน้ำและรองรับน้ำหลาก ตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของอาคารชลประทานให้พร้อมใช้งานกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ เพื่อให้การระบายน้ำทำได้ดียิ่งขึ้นรวมทั้งเตรียมบุคลากร เครื่องจักรเครื่องมือ และระบบสื่อสารให้สามารถเข้าช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยได้ทันที เน้นย้ำการประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนถึงสถานการณ์น้ำล่วงหน้า
ตราดวิกฤตน้ำ2อ่างทะลักเข้าท่วม
สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ต่างๆ วันเดียวกัน ที่ จ.ตราด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น้ำจากอ่างเก็บน้ำคลองโสน ได้ไหลล้นความจุ ลงสู่คลองโสนและคลองสะตอ ที่รับน้ำจากเขื่อนคีรีธาร อ.ขลุง เช่นกัน ได้ไหลเข้าท่วม อ.เขาสมิง และ อ.เมือง มีระดับน้ำสูงประมาณ 1-1.2 เมตร โดยชาวบ้านในเทศบาล ต.เขาสมิง กว่าร้อยละ 60 ประชาชนกว่า 1,000 ราย ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ นายอาวุธ ประวาศวิน นายกเทศบาล ต.เขาสมิง ได้นำเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือประชาชนโดยตั้งเต็นท์และช่วยขนข้าวของมาอาศัยบนถนนชั่วคราว
จันทบุรีอ่วมน้ำท่วมสูง10อำเภอ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังฝนตกหนักต่อเนื่องใน 10อำเภอของ จ.จันทบุรี ส่งผลให้เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำ บางจุดมีระดับน้ำสูงกว่า 2 เมตรโดยเฉพาะชุมชนที่อยู่ในเขตเทศบาลเมืองจันทบุรี เทศบาลเมืองท่าช้าง เทศบาลพลับพลานารายณ์ เทศบาลเกาะขวาง และ อบต.ท่าช้าง ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เจ้าหน้าที่ต้องเร่งเข้าช่วยขนย้ายสิ่งของไว้ที่สูง และอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ส่วนอำเภอรอบนอก ได้เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน บางจุดน้ำท่วมสูงกว่า 1 เมตร อย่างไรก็ดี ทางการได้เปิดศูนย์อพยพผู้ประสบภัยชั่วคราวขึ้นที่ศาลากลางจังหวัดจันทบุรี
ซ้ำน้ำทะเลหนุนสูงระบายออกช้า
ส่วนบริเวณรอบเทศบาล ต.เขาสมิง ถนนสายเขาสมิง-สระใหญ่ มีบ้านเรือนประชาชนทั้งสองฝั่งถนนกว่า 50 หลังคาเรือนถูกน้ำท่วม ไม่สามารถอาศัยอยู่ในบ้านได้ อย่างไรก็ดี ขณะนี้ฝนหยุดตกแล้ว แต่นอกจากน้ำที่ไหลล้นจากคลอง ยังได้รับผลกระทบจากน้ำทะเลหนุนสูงด้วย ทำให้การระบายน้ำลงแม่น้ำตราด ยังระบายน้ำได้ไม่มาก ทั้งนี้ ชาวบ้านที่ ต.เขาสมิง 3 หมู่บ้าน ถูกน้ำท่วมทั้งหมด ประกอบด้วยบ้านลำภูลาย บ้านชุมแสง และบ้านเขาสมิง มีประชาชนบางส่วนติดค้างอยู่ในบ้าน ทาง อปพร.และกู้ภัย ต้องเร่งเข้าช่วยเหลือ ขณะที่นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ ผวจ.ตราด ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ว
ปราจีนฯฝนถล่มน้ำป่าท่วมถนน
ที่ จ.ปราจีนบุรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเกิดฝนตกหนักกระจายไปทั่ว โดยเฉพาะที่ อ.กบินทร์บุรี ส่งผลให้น้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมถนนสาย 2390 ด้านหน้าซอยประชารัฐ 11 (บ้านโคกอุดม) หมู่ 1 ต.หนองกี่ อ.กบินทร์บุรี เป็นระยะทางกว่า 100 เมตร ระดับน้ำสูงประมาณ 50 เซนติเมตร ทำให้รถเล็กที่จะสัญจรจาก อ.นาดี มุ่งหน้าสู่ อ.กบินทร์บุรี ต้องใช้ความระมัดระวัง ในขณะที่ประชาชนบางรายได้ออกมาดักตาข่ายจับปลาก ส่วนชาวนาต้องคอยนำขยะออกจากแปลงนาข้าวที่กำลังออกรวง เพื่อไม่ให้ข้าวเน่าเสียหาย
ปทุมฯยังอ่วมพระย้ายควายหนีน้ำ
ส่วนที่ จ.ปทุมธานี ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่วัดไก่เตี้ย ต.กระแชง อ.สามโคก พบว่าน้ำท่วมบริเวณวัดสูง 1 เมตร นานกว่า 2 สัปดาห์แล้ว เนื่องจากอยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา พระสงฆ์ต้องใช้เรือเข้าออกวัด และปฏิบัติศาสนกิจบนสะพานที่สร้างไว้ใช้งาน นอกจากนี้ยังต้องขนย้ายสุกร วัว และควาย ที่ญาติโยมไถ่ชีวิตมาถวายวัด ออกจากบริเวณที่ถูกน้ำท่วม ไปไว้ที่บริเวณพระอุโบสถด้านบนที่ยังไม่ถูกน้ำท่วม โดยมีควาย 9 ตัว วัว 1 ตัว และสุกร 2 ตัว ซึ่งถูกนำออกจากคอกและโรงเรือนทั้งหมด
พ่อเมืองโคราชคาด4ลุ่มน้ำเพิ่มสูง
นายวิเชียร จันทรโณทัย ผวจ.นครราชสีมา กล่าวถึงสถานการณ์น้ำในเขื่อนต่างๆ ว่า หลังจากพายุคมปาซุ จะเคลื่อนเข้าประเทศเวียดนาม และส่งผลให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ได้รับผลกระทบ มีฝนตกหนัก ว่าได้แจ้งเตือนประชาชนในลุ่มน้ำต่างๆ ทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ลุ่มน้ำลำตะคอง ลำพระเพลิง ลำมูลบน และลำเชียงไกร ให้เฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำ ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ลักษณะของฝนที่ตกน่าจะตกต่อเนื่อง จึงย้ำไปยังนายอำเภอ ส่วนราชการต่างๆ ให้เฝ้าระวังโดยเฉพาะที่ลำเชียงไกร ที่มวลน้ำเดิมยังลดลงไม่หมดในพื้นที่ อ.พิมาย และ อ.ชุมพวง ซึ่งประชาชนได้รับผลกระทบอยู่กว่า 700 หลังคาเรือน
เผยลำพระเพลิงน้ำใกล้เต็มความจุ
สำหรับอ่างเก็บน้ำลำพระเพลิงขณะนี้น้ำใกล้เต็มความจุ โดย 3-4 วันที่ผ่านมาได้ระบายน้ำออกจากอ่างประมาณวันละ 2 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) มากกว่าทุกอ่างเก็บน้ำที่ปล่อยน้ำออกส่วนอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกรตอนล่าง กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว มีปริมาณน้ำร้อยละ 50 ของความจุอ่าง คาดว่าหมดฤดูฝน น่าจะมีน้ำในอ่างไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 อย่างแน่นอน ส่วนประตูระบายน้ำที่ซ่อนแซม ก็สามารถใช้บังคับน้ำได้แล้ว ขอฝากถึงพี่น้องประชาชนขอให้ดูแลบุตรหลานให้ดีโดยเฉพาะการลงเล่นน้ำในแหล่งน้ำ หรือพื้นที่น้ำท่วมขัง หรือออกหาปลาในพื้นที่ให้ระมัดระวังเนื่องจากมีเหตุการณ์จมน้ำเสียชีวิตในลักษณะนี้บ่อยครั้ง
2ป.ตรวจน้ำท่วมอีสาน14-15ต.ค.นี้
อีกด้านหนึ่ง พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ มีกำหนดการเดินทางลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น เพื่อติดตามการแก้ปัญหาน้ำท่วม การบริหารจัดการน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ และเร่งรัดเตรียมการรองรับการแก้ปัญหาน้ำแล้งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในภาพรวม โดยจะลงตรวจเยี่ยมการทำงานของเจ้าหน้าที่และพบปะพูดคุย มอบถุงยังชีพและให้กำลังใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในคราวเดียวกัน
ส่วนในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พร้อมคณะ มีกำหนดการลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี เพื่อตรวจราชการ และติดตามสถานการณ์น้ำท่วมเช่นเดียวกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี