พญ.โชษิตา ภาวสุทธิไพศิฐ รองผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กล่าวถึง
สถานการณ์โควิด-19 ทำให้เด็กต้องใช้ชีวิตอยู่บ้านนานกว่าปกติ เพราะไม่สามารถเดินทางไปโรงเรียน เที่ยวเล่น หรือออกไปข้างนอกกับผู้ปกครองได้ เพื่อป้องกันการติดและแพร่เชื้อ ว่า หลายครอบครัวต้องเจอปัญหาเด็กติดจอ เพราะผู้ปกครองไม่มีเวลาเลี้ยงดูใกล้ชิดเนื่องจากมีงานต้องรับผิดชอบตามหน้าที่
และยังพบบางครอบครัวไม่มีความรู้เรื่องการเลี้ยงลูกเชิงบวก จนทำให้เด็กมีพฤติกรรมติดจอและรับสื่อไม่เหมาะสม
ตามวัย ส่งผลกระทบต่อร่างกาย พัฒนาการ อารมณ์ มีพฤติกรรมเลียนแบบ และได้รับผลกระทบทางจิตใจ เนื่องจากปัจจุบันการเข้าถึงสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ ยูทูบ และช่องทางอื่นๆ สามารถรับชมง่าย จนอาจเป็นเรื่องยากที่ผู้ปกครองจะจัดการและรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ซึ่งการรับสื่อผ่านโทรทัศน์เป็นอีกช่องทางที่ผู้ปกครองต้องไม่ละเลยในการดูแลเด็ก เนื่องจากละครหรือซีรี่ส์บางเรื่อง มีฉากเนื้อหารุนแรง ฆาตกรรม ร่วมเพศ อาจทำให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 10 ปี แยกแยะโลกแห่งความจริงกับเรื่องแต่งไม่ได้ ซึ่งผู้ปกครองต้องรู้วิธีพูดคุย สื่อสารกับเด็กให้ถูกต้อง เพื่อป้องกันไม่ให้สมองและจิตใต้สำนึกของเด็กซึมซับสิ่งที่เห็นจนมีพฤติกรรมเลียนแบบหรือฝังใจกับสิ่งที่ดูจนเกิดเป็นความกลัว ส่วนวัยรุ่นอาจเป็นช่วงวัยที่ห้ามพฤติกรรมเหล่านี้ยาก เพราะเป็นช่วงวัยที่ต้องการทดลอง อยากรู้ อยากเห็นสิ่งใหม่ๆ ตามกระแสสังคม
“ผู้ปกครองอาจต้องใช้วิธีนำฉากต่างๆ ในละครหรือซีรี่ส์ที่เด็กรับชมมาพูดคุยมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน เพื่อให้เด็กแยกโลกความจริงกับโลกเสมือนจริงได้ที่แต่งขึ้นให้ได้เช่น การดึงฉากด้านมืดของมนุษย์ในฉากต่างๆ มาคุยกับเด็กว่ามีผลกระทบอะไรกับสังคม และหากไปทำพฤติกรรมเลียนแบบเด็กจะต้องเจอปัญหาอะไรตามมา” พญ.โชษิตา กล่าว
พญ.โชษิตา กล่าวต่อไปว่า มีข้อแนะนำวิธีดูแลเด็กเรื่องการรับสื่อ ดังนี้ 1.ผู้ปกครองต้องดูแลเด็กใกล้ชิดเรื่องการรับสื่อ ทั้งเนื้อหา ความเหมาะสมตามช่วงวัย และเวลาในการรับสื่อ เพราะสมองเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ยังแยกแยะโลกเสมือนจริงกับเรื่องที่แต่งขึ้นไม่ได้ได้ อาจทำให้สมองซึมซับสิ่งที่เห็นและมีพฤติกรรมเลียนแบบได้ง่าย 2.หากฉากละคร ซีรี่ส์มีเนื้อหาไม่เหมาะสมต่อช่วงวัย ผู้ปกครองต้องนั่งดูด้วยทุกครั้ง และใช้โอกาสนี้พูดคุย วิเคราะห์ฉากต่างๆ ให้เด็กฟัง และหากเกิดผลกระทบทางอารมณ์ จิตใจ ต้องหาทางออกให้เด็กได้
3.ผู้ปกครองต้องรู้พฤติกรรมของเด็กว่ามีลักษณะขี้กลัว กังวล หรือมีอารมณ์รุนแรง ก้าวร้าว เพื่อจะได้รู้วิธีรับมือกับผลกระทบที่อาจจะตามมา และ 4.หากผู้ปกครองป้องกันการเข้าถึงสื่อของเด็กไม่ได้ ควรหาเวลาพูดคุย เพื่อสอนวิธีแยกแยะความไม่เหมาะสม สิ่งที่ไม่ควรเอาเป็นแบบอย่าง ป้องกันไม่ให้เด็กมีพฤติกรรมเลียนแบบที่อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในระยะสั้นและระยะยาว
ทั้งนี้ ผู้ปกครองที่ต้องการศึกษาวิธีเลี้ยงลูกเชิงบวกเพื่อแก้ปัญหาเด็กติดจอ สามารถติดตามความรู้ ข้อแนะนำ และวิธีการเลี้ยงเด็กในทันสมัยได้ที่ https://happinet.club/ จัดทำขึ้นโดยภาคีเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ภายในเว็บไซต์เต็มไปด้วยความรู้สร้างเสริมสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัวจำนวนมาก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี