12 พ.ย. 2564 เฟซบุ๊กแฟนเพจ "Land Watch THAI จับตาปัญหาที่ดิน" เผยแพร่บทความ "21 ปี จากที่ดินทิ้งร้าง สู่การจัดการที่ดินโดยชุมชน" เนื้อหาดังนี้
.
ในช่วงปี พ.ศ.2543 เป็นช่วงเวลาที่นายทุนกว้านซื้อที่ดินอย่างกว้างขวางจากสภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการออกโฉนดโดยมิชอบด้วยกฏหมายจากโครงการเร่งรัดการออกโฉนดที่ดิน จึงส่งผลให้มีการทิ้งที่ดินรกร้างว่างเปล่าโดยไม่มีการทำประโยชน์ใดๆหลายแปลงในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดลำพูน เช่น ในบ้านไร่ดง ต.น้ำดิบ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ที่มีนายทุนออก น.ส.3ก.โดยมิชอบด้วยกฏหมาย โดยใช้สค.1จากพื้นที่อื่นมาสวมออก น.ส.3ก. เป็นพื้นที่กว่า 426 ไร่
.
วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2543 ชาวบ้านไร้ที่ดินทำกินจำนวน 282 ครัวเรือนได้รวมตัวกันเพื่อ “ปฎิรูปที่ดินโดยชุมชน” ด้วยการตัดสินใจบุกยึดที่ดินที่รกร้างว่างเปล่าในพื้นที่ โดยเข้าใช้พื้นที่ทั้งหมด 426 ไร่ โดยได้จัดตั้ง “กลุ่มปฏิรูปที่ดินโดยชุมชน ด้วยการเคลื่อนไหวกลับกลุ่มแนวร่วมเกษตรกรภาคเหนือ (นกน.) และ สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.)ได้ยื่นข้อเรียกร้องและเจรจากับผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูนและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องซึ่งต่อมาได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาปัญหา
.
ต่อมาคณะกรรมการฯมีมติว่าการออก น.ส.3ก.ทั้งหมด 31แปลงออกโดยมิชอบด้วยกฏหมาย โดยการใช้ “สค. บิน” คือ การนำใบ สค.1 ที่ระบุพื้นที่แห่งหนึ่งไปใช้ออกโฉนดในพื้นที่อีกแห่งหนึ่ง และ “สค.เวียนเทียน” คือการใช้สค.แผ่นเดียวนำมาออกหลักฐานออกโฉนดหลายครั้ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีการเพิกถอนแต่อย่างใด
.
ในวาระครบรอบ 21 ปี วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ2564 ในพื้นที่โฉนดชุมชนบ้านไร่ดง อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ได้มีการจัดงานเสวนาเพื่อทบทวนข้อสรุปที่ได้จากปฎิรูปที่ดินโดยชุมชนและมีการอ่านแถลงการณ์ร่วมกันของ “ขบวนการปฏิรูปที่ดินโดยชุมชนจังหวัดเชียงใหม่-ลำพูน” ในนาม “สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ” มีข้อเสนอต่อผู้มีอำนาจรัฐและนายทุน ชนชั้นนำ และสาธารณชน เพื่อเป้าหมายกระจายการถือครองที่ดิน ผ่าตัดแก้ไขปัญหาที่ดินในสังคมไทย ดังนี้
.
1. รัฐต้องทบทวนระบบรูปแบบกรรมสิทธิ์ในที่ดิน “แบบปัจเจกบุคคล” และ “กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยรัฐ” ในรูปแบบที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันอย่างเดียว เพื่อเปิดพื้นที่ให้มีการจัดการที่ดินโดยชุมชนในรูปแบบ “โฉนดชุมชน” เพราะที่ผ่านการจัดการที่ดินแบบกรรมสิทธิ์โดยปัจเจกบุคคลและโดยรัฐ ก่อให้เกิดการผูกขาดและความล้มเหลวในการจัดการที่ดินของรัฐไทยอย่างรุนแรง ที่ดินกลายเป็นสินค้า มือใครยาว สาวได้ สาวเอา ทำให้ที่ดินกระจุกตัวอยู่ในมือของนายทุนอย่างไม่เป็น การจัดการที่ดินในรูปแบบ “โฉนดชุมชน” ตามหลักประชาธิปไตยรวมหมู่ รัฐต้องสนับสนุนรูปแบบการจัดการที่ดินใหม่ เพื่อให้ชุมชนสร้างนวัตกรรมในการจัดการที่ดินอย่างมีส่วนร่วม ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าถึงสิทธิในการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อยกระดับประชากรในการปฏิรูปที่ดิน อันเป็นการปฏิรูปประเทศให้เจริญก้าวหน้า
.
2. รัฐต้องสร้างกลไกการปฏิรูปที่ดินที่มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับเจตนารมณ์เพื่อรองรับการเข้าถึงที่ดินเกษตรกรรายย่อย คนจน ที่ต้องการเข้าถึงสิทธิในการใช้ประโยชน์ในที่ดินเพื่อการยังชีพอย่างมีศักดิ์ศรี ด้วยการสร้างกลไกกลางในการกระจายที่ดินอย่างเป็นธรรม ที่มั่นคงและยั่งยืน โดยจัดตั้ง “สถาบันธนาคารที่ดิน” ตามข้อเสนอของภาคประชาชน หรือกลไกเดิมที่เรียกว่า “สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (บจธ.)” ที่เกิดขึ้นจากการผลักดันของภาคประชาชน
.
3. รัฐต้องออกกฎหมายเก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้า เป็นมาตรการในการจำกัดการถือครองที่ดิน สู่การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม เพราะการเก็บภาษีที่ดินจากคนที่ถือครองที่ดินในอัตราก้าวหน้า จะทำให้ที่ดินที่กระจุกตัวอยู่ในมือนายทุน หรือชนชั้นนำถือครองถูกกระจายออกมาอย่างเป็นรูปธรรม
.
เชื่อมั่นและศรัทธาในพลังประชาชน
.
“ประชาชนเป็นเจ้าของแผ่นดิน ที่ดินเป็นของราษฎร”
.
แหล่งที่มา
สมภพ ดอนดี. (2559). พลวัตขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิรูปที่ดินหลังรัฐธรรมนูญ :กรณีศึกษาเครือข่ายปฎิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย. วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
แถลงการณ์ " 21 ปี จากที่ดินทิ้งร้าง สู่การจัดการที่ดินโดยชุมชน "
โดย“ขบวนการปฏิรูปที่ดินโดยชุมชนจังหวัดเชียงใหม่-ลำพูน” ในนาม “สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี