นายกฯขอร้องอีก11ล้านคน
เร่งฉีดวัคซีน
ตั้งเป้า15ธันวาคมครบทุกคน
จุฬาเปิดผลวิจัยวัคซีนChulaCov19
กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้กว่า70%
ประสิทธิภาพเทียบเท่าไฟเซอร์
ติดเชื้อใหม่6,901คน-ดับ55ศพ
“อนุทิน” เผยนายกฯสั่งผ่านไลน์ขอร้องอีก 11 ล้านคน เข้ารับวัคซีนภายใน 15 ธันวาคม ยันไม่บังคับ-ไม่ออกก.ม. เปิดประเทศ 17 วัน ตปท.บินเข้าไทย 6.3 หมื่นคน พบติดโควิดแค่ 81 คน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดผลทดลองวัคซีน ChulaCov19 พบป้องกันได้ 70%กระตุ้น T cell ได้สูงกว่าไฟเซอร์ราว 2 เท่า ใช้เป็นบูสเตอร์เข็มที่ 3 และ4 คาดเริ่มใช้ได้ช้าที่สุดในเดือนมิถุนายน ปีหน้า ขณะที่ยอดป่วยรายวันภายในประเทศ 6,901 ราย เสียชีวิต 55 ราย
เมื่อวันที่ 18พฤศจิกายน ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมการเปิดประเทศภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือถือว่าควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ได้ดี ขณะนี้ต้องเร่งการฉีดวัคซีนโควิด-19 เพิ่มเข้าไป ซึ่งไทยยังมีผู้ไม่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 ประมาณ 11 ล้านคน ก็มีจำนวนหนึ่งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น ผู้สูงอายุ โดยเราก็ส่งทีมเชิงรุก เข้าไปให้บริการถึงชุมชน ลดการเดินทางมา ทั้งนี้ การเปิดประเทศเป็นสิ่งที่เราดำเนินการอยู่แล้ว แต่จังหวัดใดมีความพร้อมเปิดอย่างไร ขึ้นอยู่กับแนวทางของผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ที่มีนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) เป็นเลขานุการฯ พิจารณาผ่อนคลายมาตรการต่างๆ เช่น อัตราการฉีดวัคซีนในจังหวัด
คนไทยฉีดวัคซีนแล้ว86ล้านโดส
นายอนุทิน กล่าวว่า ขณะนี้ ประเทศไทยฉีดวัคซีนแล้ว 86 ล้านโดส โดยผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 มีประมาณ 11 ล้านคน ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วง ได้ไลน์มากำชับด้วยตัวเอง ตนจึงมอบหมายให้กรมควบคุมโรค เร่งฉีดวัคซีนให้แล้วเสร็จในวันที่ 15ธ.ค.64 ทั้งนี้ ไม่ได้เป็นการกดดันคนทำงาน เพราะที่ผ่านมาอัตราการฉีดวัคซีนของไทยเฉลี่ยวันละ7-8แสนโดสและวัคซีนก็มีเพียงพอต่อการฉีด ดังนั้น การฉีด 11ล้านคน ใน 30วัน ก็จะเฉลี่ยวันละ 3แสนคน
วอน11ล้านคนที่เหลือไปรับวัคซีน
นายอนุทิน กล่าวว่า วันนี้ศักยภาพในการฉีดวัคซีนของสถานพยาบาล ไม่ได้มีปัญหาเลย แต่ปัญหาคือ การค้นหา คนที่ยังไม่ได้ฉีด ให้มาฉีด ต้องเร่งทำความเข้าใจให้ประชาชน ขอให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) พาไปฉีด โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ไม่อยากฉีด เพราะคิดว่าไม่ได้ออกไปเจอใคร แต่เราก็จะยกตัวอย่างเช่น จ.เชียงใหม่ ที่ผู้สูงอายุฉีดวัคซีน ไม่ได้ออกไปไหน แต่ก็รับเชื้อมาจากผู้ดูแลได้ แต่เมื่อรับวัคซีน อาการก็ไม่รุนแรง ลดการเสียชีวิต จึงอยากให้คนที่มีข้อจำกัดในการรับวัคซีน ซึ่งอยู่ใน 11 ล้านคนสุดท้าย ได้เข้าใจ คลายความกังวล และเข้ารับวัคซีนกันทุกคน รวมถึงผู้ที่อยู่นอกสิทธิในประเทศด้วย
มุ่งเป้าคนไทยฉีดครบ100%
“หากฉีด 11 ล้านคนนี้ได้ ประเทศไทยถือว่าเราฉีดวัคซีนแทบทุกคน ในทางประชาสัมพันธ์เราจะบอกได้ว่า ไทยเราจะฉีดวัคซีนครบ 100% ที่มากกว่าภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd immunity) ตามหลักระบาดวิทยา แต่เรามีวัคซีนพร้อมฉีดครบตามความต้องการของประชากร ซึ่งจะทำให้สังคมโลกมองเห็นว่าไทยเราซีเรียสเรื่องการดูแลประชาชนในประเด็นโควิด-19 และศักภาพการจัดหาวัคซีน ความสามารถบุคคลกรสาธารณสุข มันเป็นสถิติที่ควรทำเอาไว้” รมว.สาธารณสุข กล่าว
ยืนยันไม่ได้บังคับให้ฉีดวัคซีน
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีการวิพากษ์ วิจารณ์การจำกัดสิทธิของบุคคลด้วยการบังคับให้รับวัคซีนโควิด-19 เช่น การไม่ให้เข้าร้านอาหาร หรือเป็นเงื่อนไขในการสมัครงาน นายอนุทิน กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่ได้บังคับฉีดวัคซีน แต่ขอความร่วมมือ แสดงให้เห็นประโยชน์ว่าเพิ่มความปลอดภัยให้ตนเองอย่างไร กรณีดังกล่าว ตนเพียงยกตัวอย่างขึ้นมาว่า การไม่รับวัคซีนก็อาจเจอมาตรการสังคมโดยที่ไม่ทันตั้งตัว เพราะเป็นสิทธิของแต่ละคน เช่น หากเป็นเจ้ากิจการ ที่พนักงานในร้านฉีดวัคซีนแล้ว ก็พร้อมให้บริการเฉพาะผู้ได้รับวัคซีน หรือการสมัครงาน ที่เราต้องการจะผ่อนคลายให้เปิดกิจการได้มากขึ้น เช่น พนักงานบริการ ในผับบาร์ ร้านอาหาร ซึ่งเป็นสิทธิของผู้ประกอบการที่จะรับพนักงานที่ได้รับวัคซีนแล้ว ซึ่งก็เหมือนกับในหลายๆ ประเทศ ดังนั้น หากคนในประเทศฉีดวัคซีนมากแล้ว วันหนึ่งเราก็จะเจอมาตรการเช่นนี้ เขาไม่ได้รังเกียจ แต่เขาไม่ต้องการรับความเสี่ยง โดยอย่าลืมว่า วัคซีนป้องกันป่วยหนักและเสียชีวิต แต่ไม่ได้ป้องกันติดเชื้อ
ไม่ต้องการมให้เกิดความเหลื่อมล้ำ
“ดังนั้น คนที่ฉีดแล้ว ก็ไม่สบายใจที่จะไปอยู่ใกล้ชิดกับคนที่ยังไม่ฉีด ซึ่งเราไม่ต้องการให้เกิดความเหลื่อมล้ำ และวัคซีนที่เราฉีดกว่า 86 ล้านเข็ม ก็ไม่มีผลทางลบใดๆ ตรงกันข้าม การติดเชื้อ การเสียชีวิตลดลง ผู้คนเริ่มใช้ชีวิตปกติมากขึ้น มีแต่ปัจจัยบวก เพียงแต่จะเป็นเงื่อนไขสังคม และกติกาที่ไม่ต้องตรากฎหมาย ถึงเวลาสังคมมนุษย์ก็จะมีกติกาที่จะอยู่ร่วมกันด้วยความสบายใจ” นายอนุทิน กล่าว
เข้าไทยแล้ว6.3หมื่น-ติดโควิดแค่81คน
ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (ศบค.) รายงานผลการดำเนินงานการรับผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักร ที่สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง สนามบินเชียงใหม่ สนามบินหัวหิน สนามบินภูเก็ต และสนามบินสมุย ตั้งแต่วันที่ 1-17 พ.ย. 2564 มียอดสะสม 63,659 คน มีผู้ติดเชื้อ 81 ราย มีอัตราการติดเชื้ออยู่ที่ 0.13% แยกเป็น กลุ่ม Test&Go 47,308 คน ติดเชื้อ 40 ราย, แซนด์บ็อกซ์ 13,368 คน ติดเชื้อ 22 ราย, อยู่ระหว่างกักตัว (Quarantine) 2,983 คน ติดเชื้อ 19 ราย โดย10 ระเทศต้นทางที่เดินทางเข้าราชอาณาจักรทางอากาศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 9,032 คน เยอรมนี 6,737 คน สหราชอาณาจักร 3,208 คน ญี่ปุ่น 2,921 คน รัสเซีย 2,326 คน ฝรั่งเศส 2,301 คน เกาหลีใต้ 2,190 คน สวิตเซอร์แลนด์ 1,721 คน สวีเดน 1,645 คน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1,618 คน
‘สหรัฐ-เยอรมนี-อังกฤษ’มากสุด
สำหรับอัตราการติดเชื้อของผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักรทางอากาศ จำแนกตามประเทศต้นทาง 10 อันดับ ตั้งแต่วันที่ 1-17 พฤศจิกายน 2564 ได้แก่ ไนจีเรีย 69 คน มีผู้ติดเชื้อ 2 คน, ซาอุดิอาระเบีย 182 คน มีผู้ติดเชื้อ 2 คน, อียิปต์ 101 คน มีผู้ติดเชื้อ 1 คน ศรีลังกา 138 คน มีผู้ติดเชื้อ 1 คน, ตุรกี 158 คน มีผู้ติดเชื้อ 1 คน, รัสเซีย 2,326 คน มีผู้ติดเชื้อ 12 คน, กาตาร์ 704 คน มีผู้ติดเชื้อ 3 คน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1,618 คน มีผู้ติดเชื้อ 6 คน, สหราชอาณาจักร 3,208 คน มีผู้ติดเชื้อ 12 คน, เบลเยียม 851 คน มีผู้ติดเชื้อ 3 คน และอื่นๆ 54,304 คน มีผู้ติดเชื้อ 38 คน
นอกจากนี้ ศบค.ได้เผยแพร่ข้อมูลกรุงวอชิงตันเล็งยกเลิกข้อบังคับสวมหน้ากากอนามัยในอาคาร ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป และนิวซีแลนด์เตรียมผ่อนคลายมาตรการควบคุมพรมแดนเมืองโอ๊คแลนด์
ไทยติดเชื้อเพิ่ม6.9พัน-ดับ55ราย
ศูนย์ข้อมูล COVID19 รายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ว่า ติดเชื้อรายใหม่6,901ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ 6,423ราย ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก 319ราย ผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 144ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 15ราย ผู้ป่วยสะสม 2,015,262 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) หายป่วยกลับบ้าน 7,556 ราย หายป่วยสะสม 1,905,773ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้ป่วยกำลังรักษา 90,672ราย เสียชีวิต 55 ราย
เปิดผลทดลองวัคซีน ChulaCov19
วันเดียวกัน ที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีการจัดเสวนา CHULA the Impact ครั้งที่ 5 “ความคืบหน้าวัคซีนโควิด-19 ของจุฬาฯ นวัตกรรมของไทย ความหวังของคนไทย”
โดย ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ให้ข้อมูลความคืบหน้า วัคซีนวัคซีน ChulaCov19 ว่า ตั้งแต่เริ่มมีการทดลองในสัตว์พบว่าสามารถกระตุ้นภูมิได้ถึง 40,000 ไตเตอร์ แต่ด้วยกระบวนการผลิตต่างๆ ต้องอาศัยจากต่างประเทศและด้วยสถานการณ์โควิดทำให้มีความล่าช้า แต่ในระหว่างรอการผลิตนั้น ก็ได้มีการพัฒนาวัคซีน รุ่น 2 รุ่น 3 เพื่อทดลองต่อไปด้วย อีกทั้งยังสามารถมีอายุได้ถึง 3 เดือน ทำให้สะดวกในการเคลื่อนย้ายไปฉีดสะดวก สำหรับการทดลองในอาสาสมัครเฟส 1/2 ระยะแรก จำนวน 72 คน แบ่งเป็นอายุ 18-55 ปี และอายุ 56-75 ปี ในระยะที่ 2 อายุ 18-55 ปี อีก 150 คน ผลสรุปเบื้องต้นวัคซีนปลอดภัย เข็มที่ 2 อาจจะพบอาการเป็นไข้ แต่หายได้ใน 1-2 วัน ไม่พบผลข้างเคียงอันตรายใดๆ และจากการตรวจสอบพบว่าสามารถกระตุ้นภูมิใน B cell และ T Cell ได้สูงมาก ถึงแม้ว่าภูมิจะตกลงมาเมื่อพบเชื้อกลายพันธุ์แต่ก็ยังสามารถป้องกันได้ในคนจริงๆ
กระตุ้นภูมิไม่ด้อยกว่าไฟเซอร์
ศ.นพ.เกียรติ กล่าวอีกว่า ผลจากการทดลองในแล็บ ม.มหิดล โดยมีการเพาะเลี้ยงเชื้อ และใส่เลือดของไข้ที่ได้รับวัคซีนในหลอดทดลอง ตั้งแต่โดส 22 , 29 และ 50 พบว่า เมื่อเทียบกับวัคซีนที่ได้ขึ้นทะเบียนในไทยสามารถกระตุ้นภูมิได้มากกว่า 70% และเมื่อเทียบกับวัคซีนไฟเซอร์ก็ไม่ด้อยกว่า อีกทั้งเมื่อเทียบกับผลของผู้ติดเชื้อจริงก็ยังคงสูงมาก อีกทั้งยังสามารถป้องกันการข้ามสายพันธุ์ได้ดี และยืนยันจากการทดลอง Pseudovirus จากแล็บของ สวทช.ว่าสามารถป้องกันการข้ามสายพันธุ์ได้
ศ.นพ.เกียรติ กล่าวถึงในการทดลองเฟสที่ 2 ว่า คณะกรรมการอิสระทางวิชาการ ได้มีการตัดสินใจใช้ChulaCov19 ในปริมาณ โดส 50 ไมโครกรัม ซึ่งผ่านการรับรอง อย. เนื่องจาก ในการระบาดหนักหากใช้โดสต่ำอาจจะต้องมีการมาบูสเตอร์หลายรอบ โดยเป็นการเปรียบเทียบระหว่างการฉีดวัคซีนChulaCov19 และน้ำเกลือในอาสาสมัคร พบในเข็มที่ 1 ผุ้ที่ได้รับน้ำเกลือมีอาการปวดศีรษะ 2 เท่าของผู้ที่ฉีด ChulaCov19 และในเข็มที่ 2 พบว่ามีไข้ 1 ใน 5 ซึ่งหลังจากนั้น 1 เดือน ยังพบผลแอนติบอดี้ขึ้นถึงหลักหมื่น ที่น่าสนใจคือ กระตุ้น T cell ได้สูงกว่าไฟเซอร์ ประมาณ 2 เท่า แม้ว่าภูมิจะตกลงในช่วง 4 สัปดาห์ก็ยังอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับไฟเซอร์
คาดฉีดให้คนไทยมิ.ย.ปีหน้า
ส่วนการทดลองในระยะ 3 ตามมาตรฐานทั่วโลกต้องใช้อาสาสมัครอย่างน้อย 2-3 หมื่นคน พร้อมกับเทียบคู่กับการฉีดน้ำเกลือ แต่ด้วยสถานการณ์ที่มีการขึ้นทะเบียนวัคซีนจำนวนมากแล้ว ซึ่งเราได้หารือกับ อย.ในเรื่องทดลองระดับนานาชาติ ซึ่งอย.เห็นว่าสามารถให้ทดลองวัคซีนระยะ 3 ได้ในอาสาสมัครระดับหลักพันคน โดยอังกฤษ เป็นประเทศแรกที่นำหลักการนี้ไปทำ ขณะนี้ทาง อย.ไทยก็เห็นชอบด้วย ในส่วนการขึ้นทะเบียนหากขึ้นทะเบียนแค่ในไทย ก็ไม่ต้องมีการทดลองในอาสาสมัครหลายเชื้อชาติ แต่หลักการขององค์การอนามัยโลก(WHO) หากต้องการให้วัคซีนขึ้นทะเบียนEmergency Use Listing (EUL) จะต้องมีการทดลองในอาสาสมัคร 3 เชื้อชาติ
“ขณะนี้เตรียมเข้าสู่ระยะที่ 3 โดยวัคซีนที่ผลิตในไทย 100% เสร็จเรียบร้อยแล้ว รอการรับรองตรวจประกันคุณภาพ พร้อมทดลองในอาสาสมัครในต้นปี 2565 ซึ่ง อย.เห็นด้วยในหลักการทดลองในอาสาสมัครหลักพันคน หลังจากอังกฤษได้มีการทดลองไปก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ จะมีการรวบรวมข้อมูลเสร็จสิ้นในเดือนมี.ค.65 เพื่อขึ้นทะเบียนในภาวะฉุกเฉิน และคาดว่าคนไทยได้ฉีดจริงประมาณ มิ.ย.65 แต่เนื่องจากมีการฉีดวัคซีนกันไปจำนวนมากในพื้นที่กรุงเทพฯก็มากถึง 80% ดังนั้น สิ่งที่ทำคู่ขนานคือการทำวิจัยในการฉีดเข็มกระตุ้นในโดสต่ำและกลาง ซึ่งจะต้องมีการติดตามผลข้างเคียงจำนวนผู้ฉีดจำนวน 30,000 คนในระยะที่ 4 ทั้งนี้ก็ต้องมีการปรึกษากับทางอย.” ศ.นพ.เกียรติ กล่าว
เดินหน้าทดสอบวัคซีนใบยา
ด้าน ผศ.ภญ.ดร.สุธีรา เตชคุณวุฒิ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ CEO บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด กล่าวว่า วัคซีนใบยา ได้นำวัคซีนลอตแรกที่ผลิตเองมาทดสอบในระยะที่1 ในอาสาสมัครช่วงเดือนก.ย. ที่ผ่านมาจำนวน 96 คน อายุ 18-60 ปี เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้ได้มีการติดตามผลของการฉีดวัคซีนพบว่า มีความปลอดภัย และรอผลการติดตามกระตุ้นภูมิคุ้มกันหลังจากฉีดไปแล้ว 50 วัน ในช่วงนี้ จึงได้มีการเปิดรับอาสาสมัครกลุ่มผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 61-75 ปี แต่เนื่องจากคนในกรุงเทพฯได้รับวัคซีนไปจำนวนมากก็พบความยากในการหาอาสามัครซึ่งยังไม่ครบตามเป้าหมาย ทั้งนี้วัคซีนรุ่นที่ 2 ได้มีการพัฒนาและผลิตเรียบร้อยแล้วคาดว่าจะทดลองในอาสาสมัครระยะที่ 1 ช่วงเดือน ม.ค.65 คาดว่าในเดือนก.พ.65 จะมีการตัดสินใจเลือกวัคซีนที่ดีที่สุดเข้าสู่การทดลองในระยะที่ 2 ในอาสาสมัครต่อไป ในส่วนงบประมาณเห็นชอบจำนวน 1,000 ล้านบาทจากรัฐบาล ในการดำเนินงานในเฟส 3 หากในระยะที่ 2 ผ่านเรียบร้อย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี