พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงพระยาไพศาลศิลปศาสตร์ (ต่อมาคือ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี) เจ้ากรมตรวจการศึกษา กระทรวงธรรมการ ลงวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ.2454...
ทรงแสดงถึงความห่วงใยในการเรียกชื่อสถานที่ต่างๆ มีความสำคัญตอนหนึ่งว่า...
“...ชื่อเมืองที่เคยมีในภาษาไทยให้ใช้ภาษาไทย อย่าให้จดหมายเหตุแลพงศาวดารแตกสูญเสียได้จะดี ถ้าขืนเอาอย่างฝรั่งตะพืดตะพือไป จะหลงไม่รู้หัวนอนปลายตีน เมืองเก่าๆ ที่เรียกชื่อไว้ในหนังสือ จะกลายเป็นเมืองในเรื่องพระอภัยมณีไปหมดทำให้นักเรียนโง่ไปแน่แล้ว การเช่นนี้มีจนกระทั่งในกรุงเทพฯ เช่น หัวลำโพง ฝรั่งเรียกไม่ชัด ไทยเราพลอยเรียกตามว่า วัวลำพอง นี่เป็นเรื่องควรฟาดเคราะห์จริงๆ...”
พระราชหัตถเลขาฉบับนี้แสดงให้เห็นชัดว่า “หัวลำโพง” เป็นชื่อดั้งเดิม แต่ฝรั่งเรียกเพี้ยนเป็น “วัวลำพอง” คนจีนที่รับจ้างลากรถอยู่แถบนั้นเรียกเพี้ยนเป็น “ฮั่วน่ำโพ้ง”
“ทุ่งหัวลำโพง” มีผู้คนเคลื่อนย้ายเข้ามาสร้างชุมชนอาศัยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 มีการขุดคลองและถมเป็นถนนสายแรก ขึ้นในปีพ.ศ.2400 โดยขุดคลองแยกจาก คลองผดุงกรุงเกษม ผ่าทุ่ง“หัวลำโพง” เป็นเส้นตรงไปบรรจบคลองพระโขนง แล้วนำดินขึ้นมาถมเป็นถนนคู่ขนานไป ชาวบ้านเรียกกันว่า “คลองหัวลำโพง” และ ถนน “หัวลำโพง”
ในสมัยรัชกาลที่ 6 ถนนหัวลำโพง ได้รับพระราชทานชื่อใหม่เป็น “ถนนพระราม 4” เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างถนนสายประวัติศาสตร์นี้
เพราะย่านหัวลำโพงนี้ เป็นที่อยู่ชุมชนและ“ชุมทาง” ที่คึกคัก จึงถูกกำหนดให้เป็น สถานีต้นทางของเส้นทางรถไฟสายแรกของสยามประเทศสายปากน้ำ (จากกรุงเทพฯไปสมุทรปราการ) ในปี 2429 โดยรัฐบาลได้ให้สัมปทาน 50 ปี แก่บริษัทของชาวเดนมาร์ก เส้นทางสายประวัติศาสตร์นี้ยาว 21 กิโลเมตร ถือเป็น “สายเอกชน” สายแรกของประเทศ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปทำพิธีเริ่มการก่อสร้างเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2434 และได้เสด็จพระราชดำเนินไปทำ พิธีเปิดเดินรถปฐมฤกษ์ ในวันที่ 13 เมษายน 2436
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสแสดงถึง “น้ำพระทัย” ของพระองค์ท่านที่จะนำความก้าวหน้าในอารยธรรมมาสู่ประเทศ...
“เรามีความยินดีที่ได้รับหน้าที่อันเป็นที่พึงใจ คือจะได้เป็นผู้เปิดรถไฟสายนี้ ซึ่งเป็นที่ชอบใจและปรารถนามาช้านานแล้วนั้น ได้สำเร็จสมดังประสงค์ลงในครั้งนี้ เพราะเหตุว่าเป็นรถไฟสายแรกที่จะได้เปิดในบ้านเมืองเรา
แล้วยังจะมีสายอื่นๆ ต่อๆ ไปอีกเป็นจำนวนมากในเร็วๆนี้
เราหวังใจว่าจะเป็นการเจริญแก่ราชการและการค้าขายในบ้านเมืองเรายิ่งนัก...”
ทรงตั้งพระทัยที่จะให้ “ราษฎร” ของพระองค์ มีการคมนาคมที่สะดวกสบายสมชื่อคมนาคม
ทรงมีพระทัยเปิดกว้างที่จะรับวิทยาการเทคนิคจากต่างชาติ เพื่อปรับปรุงประเทศไทย
หลังรถไฟสายปากน้ำ เปิดเดินรถไฟได้ 1 ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง “ทำได้” ตามพระราชดำรัสที่ให้ไว้ “แล้วยังจะมีสายอื่นๆ ต่อๆ ไปอีกเป็นจำนวนมาก ในเร็วๆ นี้”
วันที่ 9 มีนาคม พุทธศักราช 2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมารมาทรงประกอบพระราชพิธี กระทำพระฤกษ์เรื่องการสร้างทางรถไฟหลวงสายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา
เป็นรถไฟหลวงสายแรกของประเทศ
เมื่อได้มีการวางรางไปถึงเมืองอยุธยา ได้เสด็จฯ พร้อมด้วยสมเด็จฯพระบรมราชินีนาถ ไปทรงประกอบพิธีเปิดเดินรถจากกรุงเทพฯถึงสถานีพระนครศรีอยุธยา ในวันที่ 26 มีนาคม 2439 ซึ่งในเวลาต่อมาถือเป็นวันเริ่มสถาปนากิจการรถไฟของสยาม
“พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร” พระราชโอรสองค์หนึ่งของในหลวงรัชกาลที่ 5 เป็น“เจ้านาย” ที่ทรงทุ่มเทสร้างความเจริญให้กับการรถไฟฯ จนได้รับการขนานพระนามว่า “พระบิดาแห่งกิจการรถไฟสมัยใหม่” รูปปั้นอนุสาวรีย์ของนายพลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน(พระอิสริยยศในเวลาต่อมา) อยู่หน้าอาคารที่ทำการการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งถือเป็นกลุ่มอาคารประวัติศาสตร์อีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร
วันนี้ “วัวลำพอง” หรือ “หัวลำโพง” คงไม่หมดความหมายกับบ้านเมืองสยามแห่งนี้ไปง่ายๆ
ถ้าเราช่วยกันไม่ปล่อยให้ “ผู้มีอำนาจ” ที่ “ไม่รู้หัวนอนปลายตีน” ตัดสิน “อนาคต” ที่บรรพบุรุษเราช่วยกันสร้าง
กฤษณ์ ศิรประภาศิริ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี