วันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 ว่าที่ ร.ต.ธนุ วงษ์จินดา รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รองเลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำเสมอว่าจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง จึงได้เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาทางลดความเหลื่อมล้ำด้านต่าง ๆอีกทั้ง น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) ให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ต้องการแก้ปัญหาให้เห็นผลเป็นรูปธรรม จึงกำหนดให้การดึงเด็กกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาเป็นหนึ่งในวาระเร่งด่วน (Quick Win)
และได้มอบหมายให้ตน เป็นประธานคณะทำงานวางแผนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายการจัดการของ ศธ. ด้านการลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มโอกาสเข้าถึงการศึกษาอย่างมีคุณภาพ โดยเมื่อเร็วๆนี้คณะทำงานวางแผนและเร่งรัดฯ ได้ประชุมร่วมกับผู้แทนจากหน่วยงานการจัดการศึกษาในสังกัด ศธ. ได้แก่ สพฐ. สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.ศธ.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ซึ่งผู้แทนแต่ละหน่วยงานได้รายงานข้อมูลจำนวนผู้เรียนในสังกัดที่ออกกลางคันภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 พบข้อมูล ดังนี้ กศน. มีผู้เรียนออกกลางคัน 1,483 คน, สช. มีผู้เรียนออกกลางคัน 2,578 คน , สอศ. มีนักศึกษาออกกลางคัน แบ่งเป็นอาชีวะภาครัฐ 16,690 คน อาชีวะภาคเอกชน 18,161 คน และ สพฐ. มีนักเรียนออกกลางคัน ดังนี้ กลุ่มเด็กทั่วไป 5,621 คน กลุ่มเด็กพิการ 7,137 คน กลุ่มรอยต่อ 14,953 คน รวมมีนักเรียน/นักศึกษา ออกกลางคันในทุกสังกัด จำนวน 66,623 คน
ว่าที่ ร.ต.ธนุ กล่าวต่อว่า ปัญหาและสาเหตุที่นักเรียน/นักศึกษาออกกลางคัน มีดังนี้ ปัญหาด้านสุขภาพ เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ผู้ปกครองอาจจะคิดเชื้อทำให้นักเรียน/นักศึกษาต้องออกมาดูแลบิดามารดา ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ครอบครัวได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ครอบครัวไม่มีรายได้จนเด็กต้องออกมาทำงานหารายได้จุนเจือครอบครัว ปัญหาการย้ายถิ่นฐาน คือเด็กย้ายติดตามผู้ปกครองที่เปลี่ยนอาชีพ จำนวนเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ ศธ.ต้องวางแผน จัดระบบหาวิธีให้เด็กเหล่านี้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาให้ได้
คณะทำงานวางแผนและเร่งรัดฯ จึงจัดทำโครงการ “กระทรวงศึกษาธิการห่วงใย นำนักเรียน นักศึกษาไทย กลับสู่ระบบการศึกษา” โดยมีแผนการดำเนินการคร่าว ๆ ดังนี้ สพฐ.จะจัดทำแอพพลิเคชั่น ขึ้นมาเพื่อปักหมุดหาถิ่นที่อยู่ของนักเรียน ซึ่งจะทำให้ทุกหน่วยงานใน ศธ. สามารถเชื่อมโยงข้อมูลเด็กร่วมกัน ถือเป็นการตรวจสอบความซ้ำซ้อนและทำให้ข้อมูลเป็นปัจจุบันมากที่สุด ซึ่งคาดว่าแอพพลิเคชั่นนี้จะแล้วเสร็จภายในวันที่ 29 พฤศจิกายน นี้
“เมื่อแอพพลิเคชั่นสามารถปักหมุดนักเรียน นักศึกษาที่ออกกลางคันได้แล้ว ขั้นต่อไปจะประชุ่มทำความเข้าใจกับทุกสังกัดให้ทราบแนวทางการลงพื้นที่ค้นหาติดตามเด็กต่อไป และในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ รัฐมนตรีว่าการ ศธ. จะคิกออฟเปิดโครงการ “กระทรวงศึกษาธิการห่วงใย นำนักเรียน นักศึกษาไทย กลับสู่ระบบการศึกษา” และจะไม่ให้หลุดจากระบบอีก เพื่อเป็นของขวัญวันเด็ก ปี 2565 และต่อไปทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะส่งคนลงไปเช็คอินที่บ้านของเด็ก โดยจะลงพื้นที่รับฟังปัญหาจากผู้ปกครองและเด็ก ๆว่ามีปัญหาอะไร ไม่พร้อมด้านไหน เด็กอยากจะเรียนต่อหรือไม่ ถ้าอยากเรียนต่อจะเรียนสายสามัญ หรือสายอาชีพ หรือเรียน กศน. เราจะทำสะพานเชื่อมให้เด็กเข้าสู่ระบบการศึกษาทางใดทางหนึ่งที่เด็กสะดวก” ว่าที่ ร.ต.ธนุ กล่าว
รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อว่า เมื่อนำเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษาได้แล้ว ต้องมีแผนป้องกันไม่ให้เด็กหลุดจากระบบการศึกษาอีก เช่น ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดหาทุนการศึกษาให้กับเด็ก ส่งเสริมและสร้างอาชีพให้เด็กมีรายได้ระหว่างเรียน ส่วนนักเรียนที่พิการ สพฐ. ได้มอบหมายให้สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ลงพื้นที่ดูแลนักเรียนถึงบ้าน เพื่อช่วยเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษา ซึ่งขณะนี้ สพฐ.ได้ลงพื้นที่ปักหมุดบ้านเด็กพิการและนำเด็กเข้าสู่ระบบแล้ว 5,046 คน ยังมีที่ค้นหาไม่พบอีก 2,121 คน โดยแผนดึงเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษานี้ รัฐมนตรีว่าการ ศธ. เห็นชอบ และเร่งรัดให้คณะทำงานฯ ติดตามเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษาโดยเร็ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี