‘ตรีนุช’เล็งคิกออฟเปิดแอพฯ ติดตามนักเรียน 6.6 หมื่นคน กลับเข้าระบบการศึกษา

‘ตรีนุช’เล็งคิกออฟเปิดแอพฯ ติดตามนักเรียน 6.6 หมื่นคน กลับเข้าระบบการศึกษา

วันจันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564, 19.33 น.

วันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 ว่าที่ ร.ต.ธนุ วงษ์จินดา รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รองเลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำเสมอว่าจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง จึงได้เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาทางลดความเหลื่อมล้ำด้านต่าง ๆอีกทั้ง น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) ให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ต้องการแก้ปัญหาให้เห็นผลเป็นรูปธรรม จึงกำหนดให้การดึงเด็กกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาเป็นหนึ่งในวาระเร่งด่วน (Quick Win)

และได้มอบหมายให้ตน เป็นประธานคณะทำงานวางแผนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายการจัดการของ ศธ. ด้านการลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มโอกาสเข้าถึงการศึกษาอย่างมีคุณภาพ โดยเมื่อเร็วๆนี้คณะทำงานวางแผนและเร่งรัดฯ ได้ประชุมร่วมกับผู้แทนจากหน่วยงานการจัดการศึกษาในสังกัด ศธ. ได้แก่ สพฐ. สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.ศธ.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ซึ่งผู้แทนแต่ละหน่วยงานได้รายงานข้อมูลจำนวนผู้เรียนในสังกัดที่ออกกลางคันภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 พบข้อมูล ดังนี้ กศน. มีผู้เรียนออกกลางคัน 1,483 คน, สช. มีผู้เรียนออกกลางคัน 2,578 คน , สอศ. มีนักศึกษาออกกลางคัน แบ่งเป็นอาชีวะภาครัฐ 16,690 คน อาชีวะภาคเอกชน 18,161 คน และ สพฐ. มีนักเรียนออกกลางคัน ดังนี้ กลุ่มเด็กทั่วไป 5,621 คน กลุ่มเด็กพิการ 7,137 คน กลุ่มรอยต่อ 14,953 คน รวมมีนักเรียน/นักศึกษา ออกกลางคันในทุกสังกัด จำนวน 66,623 คน


ว่าที่ ร.ต.ธนุ กล่าวต่อว่า ปัญหาและสาเหตุที่นักเรียน/นักศึกษาออกกลางคัน มีดังนี้ ปัญหาด้านสุขภาพ เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ผู้ปกครองอาจจะคิดเชื้อทำให้นักเรียน/นักศึกษาต้องออกมาดูแลบิดามารดา ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ครอบครัวได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ครอบครัวไม่มีรายได้จนเด็กต้องออกมาทำงานหารายได้จุนเจือครอบครัว ปัญหาการย้ายถิ่นฐาน คือเด็กย้ายติดตามผู้ปกครองที่เปลี่ยนอาชีพ จำนวนเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ ศธ.ต้องวางแผน จัดระบบหาวิธีให้เด็กเหล่านี้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาให้ได้

คณะทำงานวางแผนและเร่งรัดฯ จึงจัดทำโครงการ “กระทรวงศึกษาธิการห่วงใย นำนักเรียน นักศึกษาไทย กลับสู่ระบบการศึกษา” โดยมีแผนการดำเนินการคร่าว ๆ ดังนี้ สพฐ.จะจัดทำแอพพลิเคชั่น ขึ้นมาเพื่อปักหมุดหาถิ่นที่อยู่ของนักเรียน ซึ่งจะทำให้ทุกหน่วยงานใน ศธ. สามารถเชื่อมโยงข้อมูลเด็กร่วมกัน ถือเป็นการตรวจสอบความซ้ำซ้อนและทำให้ข้อมูลเป็นปัจจุบันมากที่สุด ซึ่งคาดว่าแอพพลิเคชั่นนี้จะแล้วเสร็จภายในวันที่ 29 พฤศจิกายน นี้

“เมื่อแอพพลิเคชั่นสามารถปักหมุดนักเรียน นักศึกษาที่ออกกลางคันได้แล้ว ขั้นต่อไปจะประชุ่มทำความเข้าใจกับทุกสังกัดให้ทราบแนวทางการลงพื้นที่ค้นหาติดตามเด็กต่อไป และในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ รัฐมนตรีว่าการ ศธ. จะคิกออฟเปิดโครงการ “กระทรวงศึกษาธิการห่วงใย นำนักเรียน นักศึกษาไทย กลับสู่ระบบการศึกษา” และจะไม่ให้หลุดจากระบบอีก เพื่อเป็นของขวัญวันเด็ก ปี 2565 และต่อไปทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะส่งคนลงไปเช็คอินที่บ้านของเด็ก โดยจะลงพื้นที่รับฟังปัญหาจากผู้ปกครองและเด็ก ๆว่ามีปัญหาอะไร ไม่พร้อมด้านไหน เด็กอยากจะเรียนต่อหรือไม่ ถ้าอยากเรียนต่อจะเรียนสายสามัญ หรือสายอาชีพ หรือเรียน กศน. เราจะทำสะพานเชื่อมให้เด็กเข้าสู่ระบบการศึกษาทางใดทางหนึ่งที่เด็กสะดวก” ว่าที่ ร.ต.ธนุ กล่าว

รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อว่า เมื่อนำเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษาได้แล้ว ต้องมีแผนป้องกันไม่ให้เด็กหลุดจากระบบการศึกษาอีก เช่น ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดหาทุนการศึกษาให้กับเด็ก ส่งเสริมและสร้างอาชีพให้เด็กมีรายได้ระหว่างเรียน ส่วนนักเรียนที่พิการ สพฐ. ได้มอบหมายให้สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ลงพื้นที่ดูแลนักเรียนถึงบ้าน เพื่อช่วยเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษา ซึ่งขณะนี้ สพฐ.ได้ลงพื้นที่ปักหมุดบ้านเด็กพิการและนำเด็กเข้าสู่ระบบแล้ว 5,046 คน ยังมีที่ค้นหาไม่พบอีก 2,121 คน โดยแผนดึงเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษานี้ รัฐมนตรีว่าการ ศธ. เห็นชอบ และเร่งรัดให้คณะทำงานฯ ติดตามเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษาโดยเร็ว

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top