1.การสอบเข้ามหาวิทยาลัย คือ การตัดสินอนาคตของนักเรียนจำนวนมาก ว่าใครจะเป็นผู้ชนะหรือแพ้ ดังนั้น ระบบการศึกษาไทยตั้งแต่ชั้นอนุบาล จึงพุ่งเป้าไปที่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นสำคัญ เพราะวัฒนธรรมความเชื่อของคนไทยยึดถือกันมาว่า การเรียนจบมหาวิทยาลัย คือใบเบิกทางไปสู่ความสำเร็จในชีวิต จะมีงานที่ดีให้ทำ จะมีรายได้สูง จะมีอนาคตที่มั่นคง ไปจนถึงจะมีหน้ามีตาเป็นที่ยอมรับของญาติพี่น้องและสังคม ด้วยทัศนคติเช่นนี้เองได้ส่งผลให้การสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย กลายเป็นมหกรรมประจำปีที่สร้างแรงกดดันและความเครียดให้กับนักเรียน รวมไปถึงพ่อแม่ผู้ปกครองกว่าหลายแสนคนในแต่ละปี โดยเฉพาะในปีนี้ (2564) ที่นักเรียนต้องพบกับสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ซึ่งบังคับให้พวกเขาต้องหยุดเรียน ในบางช่วงต้องเรียนออนไลน์ และต้องสอบอีกมากมาย เพื่อเก็บสะสมคะแนนไว้ใช้ในการสมัครเข้ามหาวิทยาลัยตามเกณฑ์ที่กำหนด
ความเครียดและกดดันในปีนี้ ถึงขั้นนักเรียนจำนวนหนึ่งไปร้องศาลปกครองขอให้เลื่อนการสอบ O-Net GAT/PAT วิชาสามัญ และการสอบอื่นๆ ออกไป เพราะตารางวันสอบที่ติดต่อกันหลายวัน มันมากเกินกว่าสภาพจิตใจของนักเรียนเหล่านั้นจะรับได้ สุดท้ายศาลปกครองไม่รับคำร้อง ด้วยเหตุผลทางกฎหมาย
2.สถานการณ์ที่กดดันและชี้ขาดอนาคตของนักเรียนด้วยการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยเช่นนี้เอง ที่ทำให้เกิดการเรียกร้องมาอย่างยาวนาน เพื่อให้มีการทบทวน และแก้ไขปรับปรุงระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยใหม่
ระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 60 ปี โดยมีจุดเด่นสำคัญคือ “ความยุติธรรม” ของการสอบคัดเลือก ในอดีตมีการกล่าวขานและยอมรับร่วมกันในสังคมไทยว่า ระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย เป็น “สิ่งเดียวในประเทศไทยที่ไม่มีการทุจริต” เพราะประวัติศาสตร์กดดันให้ผู้บริหารการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ต้องยอมสร้างขั้นตอนและกลไกมากมายที่สร้างความยุ่งยาก ให้แก่การทำงานของทุกฝ่ายไปจนถึงตัวนักเรียน เพื่อจะได้มั่นใจว่า กระบวนการยุติธรรมนั้นไม่มีเส้นสาย และไม่มีใครสามารถวิ่งเต้นได้
แม้ว่าจะเป็นความภาคภูมิใจของอาจารย์มหาวิทยาลัยที่รับผิดชอบในเรื่องดังกล่าวนี้ แต่ในอีกด้านระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยดังกล่าว ก็ต้องเผชิญกับประเด็นปัญหาในเรื่อง “ความยุติธรรมของกระบวนการสอบคัดเลือกไม่เท่ากับความยุติธรรมของผลลัพธ์” นี่เป็นปมปัญหาที่น่ากังวลสำหรับผม จึงต้องขอลงรายละเอียดเพื่อการข้ามผ่านความเหลื่อมล้ำอันเป็นอุปสรรคของนักเรียนส่วนใหญ่ได้อย่างราบรื่น ในกรณีที่ระดับนโยบาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเข้าใจ และยินดีนำไปปฏิบัติ
3.ความยุติธรรมของผลลัพธ์ คือ การที่นักเรียนทุกคนมีโอกาส และฐานคุณภาพการศึกษาที่เท่ากัน เมื่อเป็นเช่นนั้น การสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยด้วยระบบปัจจุบัน จึงจะให้ความยุติธรรมของผลลัพธ์ได้อย่างแท้จริง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกคนก็ทราบดีว่า โอกาสในการเข้าสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยสำหรับนักเรียนทุกคนมีเท่ากัน และกระบวนการสอบคัดเลือกก็โปร่งใสยุติธรรม กระนั้น ผลลัพธ์ที่ออกมากลับมีความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นมากมาย เช่น
ประการแรก ระบบการสอบของสำนักทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) และการสอบเฉพาะทางวิชาชีพของคณะต่างๆ ในแต่ละมหาวิทยาลัย ล้วนแล้วแต่มีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นเช่น ค่าสมัคร ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าที่พัก เป็นต้น และถ้านักเรียนต้องการสมัคร 10 แห่ง เพื่อให้มีโอกาสในการเลือกที่ได้เปรียบที่สุดตามศักยภาพทางวิชาการของตัวเอง แน่นอนว่า นักเรียนต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีนักเรียนอีกจำนวนมากที่พ่อแม่ไม่มีเงินพอจะจ่ายให้ลูกได้ตามแผนการสมัครที่ดีที่สุดของเขา นี่เป็นความยากจนอันส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำของการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย
4.ประการที่สอง สืบเนื่องจากนักเรียนที่มีโอกาสเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยม โดยเฉพาะมัธยมปลายที่มีคุณภาพต่างกันอย่างมาก เช่น โรงเรียนมัธยมของจังหวัดชายขอบ กับโรงเรียนมัธยมที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพมหานคร ถ้าให้นักเรียนจากสองแห่ง (ตามตัวอย่างนี้) มาแข่งขันทำข้อสอบคัดเลือกเข้าคณะแพทยศาสตร์ หรือวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แน่นอนว่า นักเรียนจากโรงเรียนชายขอบจะไม่ได้รับคัดเลือกจากเกณฑ์ และระบบการสอบคัดเลือกปัจจุบัน ดังนั้นแม้กระบวนการสอบแข่งขันจะมีความยุติธรรมและโปร่งใส แต่คำถามที่ตามมาก็คือ จะมีหลักประกันอะไรที่บอกได้ว่า นักเรียนจากโรงเรียนในกรุงเทพมหานคร ถ้าเรียนสำเร็จกลายเป็นแพทย์ หรือวิศวกรแล้วจะทำประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชนได้ดีกว่า และมากกว่านักเรียนจากโรงเรียนชายขอบ (ในกรณีถ้าเขามีโอกาสสอบเข้าเรียนแพทย์หรือวิศวะ)
ในอีกด้านหนึ่งมีคำถามว่า การที่นักเรียนจากโรงเรียนชายขอบสอบเข้าแพทย์หรือวิศวะไม่ได้ ถ้าเขามีโอกาสได้เข้าเรียนแพทย์หรือวิศวะ เขาจะไม่สามารถเรียนจนสำเร็จได้ ตามมาตรฐานของมหาวิทยาลัยหรือ ซึ่งถ้าคำตอบออกมาว่า นักเรียนจากโรงเรียนชายขอบมีความสามารถเรียนแพทย์หรือวิศวะได้สำเร็จ ดังนั้น การที่ระบบสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย “คัด” นักเรียนคนนี้ “ออก” ก็เท่ากับประเทศไทยเสียโอกาสที่จะมีแพทย์หรือวิศวะไปด้วยเช่นกันนั่นจึงหมายความว่า การไม่ผ่านการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ได้หมายถึงการที่นักเรียนคนนั้นไม่สามารถเรียนในมหาวิทยาลัยได้สำเร็จตามเกณฑ์มาตรฐาน เพราะฉะนั้นข้อสรุปนี้จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ “กระทรวงศึกษาธิการ” และ “กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม” จะต้องร่วมกันทบทวนระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยให้รอบคอบอีกครั้ง
5.สำหรับผม ข้อเสนอแนะเชิงแนวคิดต่อระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ เห็นว่าต้องยึดหลักการสำคัญ 2 ประการ คือ
1.การคัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยต้องพิจารณาจากเกณฑ์สำคัญ 2 เรื่อง คือ หนึ่ง คุณภาพทางวิชาการที่จะต้องผ่านมาตรฐานขั้นต่ำ เพื่อรับประกันว่านักเรียนจะสามารถเรียนสาขาวิชาที่เลือกได้สำเร็จ และสองโอกาสในการนำความรู้และทักษะจากการศึกษาในมหาวิทยาลัยออกไปใช้ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เสียเปรียบของประเทศ
2.การคัดเลือกจะต้องมีกระบวนการที่โปร่งใส และเป็นธรรมกับนักเรียนที่สมัครเข้าแข่งขัน ภายใต้แนวคิดนี้ระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย จึงไม่เน้นที่การคัดเลือกนักเรียนที่เก่งวิชาการที่สุดเข้าไปก่อน แต่เน้นที่มาตรฐานวิชาการขั้นต่ำที่จะรับประกันคุณภาพ ตามเกณฑ์ประกอบวิชาชีพของนักเรียนในอนาคต และเพิ่มน้ำหนักให้กับการที่นักเรียนจะออกไปทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ และประชาชน ในพื้นที่เป้าหมาย เพื่อพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน และเป็นธรรม
ภายใต้กรอบแนวคิดเช่นนี้ ระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย จะใช้คะแนน GAT/PAT และ O-Net เป็นสำคัญ เพื่อการคัดกรองมาตรฐานทางวิชาการขั้นต่ำของนักเรียนที่จะต้องผ่าน ซึ่งคะแนนขั้นต่ำนี้จะเป็นหลักประกันความสามารถในการเรียนจนสำเร็จตามหลักสูตรของมหาวิทยาลัยได้ จากนั้นจะพัฒนาระบบ กลไก และเกณฑ์การคัดเลือกนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์วิชาการแล้ว เพื่อคัดเลือกนักเรียนที่มีความพร้อมทางการปฏิบัติ และความต้องการทางจิตใจ ที่จะออกไปทำงานตามวิชาชีพที่เรียนมาในพื้นที่เป้าหมายของประเทศ
6.ดังนั้น เมื่อแนวคิดและระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ดังที่กล่าวมานี้ เป็นที่ยอมรับของประชาชน และผู้รับผิดชอบทางนโยบายของประเทศ การพัฒนาวิชาการ และกลไกให้เกิดขึ้นจริง ก็จะสามารถพัฒนาขึ้นตามมาได้ไม่ยากเลย
ด้วยเกณฑ์การคัดเลือกเช่นนี้ จะช่วยให้ประเทศได้บัณฑิตคุณภาพสูงไปทำงานในพื้นที่ที่เสียเปรียบของประเทศ กระบวนการสอบคัดเลือกแบบนี้จะช่วยลดช่องว่าง หรือความเหลื่อมล้ำของประเทศได้อย่างมาก ความเป็นธรรมจะเกิดขึ้นในสังคม ความสมานฉันท์จะงอกงามบนแผ่นดินไทย ความเป็นพลเมืองของคนไทยจะเข้มแข็ง
ท้ายที่สุด ผมคิดว่า ปัญหาระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ใช่เรื่องที่แก้ไม่ได้ แต่เป็นเรื่องที่ต้องสร้างความเข้าใจร่วมกันให้เกิดขึ้นเสียก่อน “ภาวะผู้นำ” จึงมีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการมองเห็นปัญหา และการหาทางออก รวมไปถึงการบริหารจัดการคน และนโยบาย ถ้าสามารถควบคุมปัจจัยเหล่านี้ได้ ก็ง่ายต่อการทำความเข้าใจ และช่วยกันลงมือทำ
กนก วงษ์ตระหง่าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี