นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้น 59,329 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) สามารถรับน้ำได้อีกประมาณ 17,086 ล้าน ลบ.ม.เฉพาะ4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำประมาณ 14,821 ล้าน ลบ.ม.รับน้ำได้อีกประมาณ 10,092 ล้าน ลบ.ม. เนื่องจากสิ้นสุดฤดูฝนแล้ว จึงให้โครงการชลประทานในพื้นที่ พิจารณาเก็บกักน้ำสำรองไว้ใช้ในฤดูแล้งให้มากที่สุด พร้อมกับปรับแผนการเพาะปลูกให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์
สำหรับพื้นที่ภาคใต้ ให้ดำเนินการตามมาตรการรับมือน้ำหลากที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด บริหารจัดการน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ โดยใช้ระบบชลประทาน ให้เกิดประโยชน์สูงสุด พิจารณาปรับการระบายน้ำให้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำให้น้อยที่สุด เน้นย้ำให้แจ้งเตือนก่อนการระบายน้ำทุกครั้ง เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดกับประชาชน นอกจากนี้ ยังเตรียมพร้อมเจ้าหน้าที่ เครื่องจักร เครื่องมือ ให้สามารถปฏิบัติงานได้ทันที และร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำถึงพี่น้องประชาชนและขอให้ประชาชนในพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด