“เฉลิมชัย” สั่งกรมปศุสัตว์เร่งทำแผนแก้หมูแพงทั้งระบบ พร้อมเตรียมหารือกระทรวงพาณิชย์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลดผลกระทบต่อประชาชนผู้บริโภค
5 มกราคม 2565 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ล่าสุดได้สั่งการให้อธิบดีกรมปศุสัตว์กำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาปริมาณสุกรที่ลดลง จนส่งผลให้ราคาจำหน่ายสูงขึ้น โดยต้องครอบคลุมทุกปัจจัย ตั้งแต่ปัจจัยต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะอาหารสัตว์และยารักษาโรคแพง ปัจจัยการพบโรคระบาดในสุกร เนื่องจากต้องทำลายสุกรเพื่อควบคุมโรค อีกทั้งก่อนหน้านี้เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายเล็ก รายย่อย และรายกลาง เกิดความตื่นตระหนกต่อข่าวของการเกิดโรคระบาดในสุกร จึงได้เร่งขายสุกรมีชีวิตออกจากฟาร์ม เมื่อพักคอกแล้ว เกษตรกรรายย่อยและรายเล็กส่วนหนึ่งหยุดเลี้ยงเนื่องจากไม่ได้ปรับระบบการเลี้ยงให้มีความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) เพื่อควบคุมโรค จึงเกรงว่าหากสุกรติดโรคระบาดจะเสียหายมาก ส่งผลให้ปริมาณสุกรในระบบการผลิตลดลง แต่ยังมีความต้องการบริโภคสูง
ทั้งนี้ กรมปศุสัตว์เตรียมมาตรการทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ไว้แล้ว โดยจะเร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กรมการค้าภายใน กรมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อแก้ปัญหาร่วมกันโดยเร็วต่อไป
ด้านนายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า กรมปศุสัตว์ ได้จัดทำมาตรการแก้ไขปัญหาราคาสุกรสูงขึ้น 3 ระยะ คือ
1.มาตรการระยะด่วน ได้แก่ การห้ามส่งออกสุกรมีชีวิตเพื่อเพิ่มปริมาณเนื้อสุกรภายในประเทศให้มากขึ้น การช่วยเหลือด้านราคาอาหารสัตว์ โดยเฉพาะส่วนที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เช่น การงดเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมหรือภาษี การจัดสินเชื่อพิเศษของธ.ก.ส. เพื่อให้เกษตรกรที่สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขได้กลับมาเลี้ยงใหม่ในพื้นที่ความเสี่ยงต่ำ การตรึงราคาจำหน่ายที่เหมาะสมและสอดคล้องกับต้นทุนที่เกิดขึ้น พร้อมเร่งสำรวจภาพรวมสถานการณ์การผลิตสุกร เพื่อกำหนดพื้นที่เป้าหมายและมาตรการที่เหมาะสม
นอกจากนี้ เพิ่มกำลังการผลิตแม่สุกรทดแทน โดยให้เกษตรกรใช้สุกรขุนตัวเมียมาใช้ทำพันธุ์ชั่วคราว เร่งรัดเจรจาฟาร์มรายใหญ่ในการสรรและกระจายพันธุ์และลูกสุกรขุนให้กับรายย่อยและเล็กที่ต้องการกลับเข้ามาสู่ระบบใหม่กำหนดโซนเลี้ยงและออกมาตรการบังคับใช้อย่างเหมาะสมเพื่อควบคุมโรค และเร่งรัดการวิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันโรค
2.มาตรการที่2 คือ มาตรการระยะสั้น ได้แก่ การส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศการขยายกำลังผลิตแม่สุกรสนับสนุนศูนย์วิจัยและบำรุงสัตว์ ในสังกัดกรมปศุสัตว์และเครือข่ายคู่ขนานกับฟาร์มเกษตรกรและภาคเอกชน การศึกษาวิจัยยาและสารกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อลดความสูญเสียจากโรคระบาด
3.มาตรการที่ 3 คือ มาตรการระยะยาว ได้แก่ การปรับเปลี่ยนพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกพืชอื่น แล้วส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อทดแทนการนำเข้า หรือส่งเสริมการผลิตข้าวโพดในฤดูแล้งให้มากขึ้นการยกระดับมาตรการปรับปรุงระบบ Biosecurity ในการเลี้ยงสุกรให้เป็น GAP หรือ GFM ซึ่งจะป้องกันโรคได้ดีขึ้น ใช้ยุทธศาสตร์การควบคุมโรคปากและเท้าเปื่อย (FMD) เพื่อส่งเสริมการส่งออกสุกรไปต่างประเทศ ใช้ระบบการติดตามการเคลื่อนย้ายสุกร Tracking Smart Logistics พร้อมทั้งศึกษาและพัฒนาการปรับปรุงพันธุ์สุกรให้ได้สุกรพันธุ์ดีและทนทานต่อโรคระบาด ศึกษาและพัฒนาการลดต้นทุนการเลี้ยงสุกรทั้งวงจรโดยกรมปศุสัตว์จะเร่งหารือกับทุกภาคส่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบของประชาชนจากราคาเนื้อสุกรสูงขึ้นโดยเร็วต่อไป
อย่างไรก็ตาม จากการประเมินจำนวนสุกรทั้งประเทศในปี 2564 ในการตรวจสอบจากการขออนุญาตเข้าฆ่าและส่งออก พบว่า รวมสุกรขุนทั้งประเทศ 19.27 ล้านตัว แบ่งเป็น สุกรเข้าฆ่า 18.29 ล้านตัวและส่งออก 0.98 ล้านตัว หรือลดลงร้อยละ 13
วันเดียวกัน นายสัตวแพทย์ชัยวัฒน์ โยธคล รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมฟาร์มเกษตรกร เพื่อหาแนวทางมาตรการเพิ่มกำลังผลิตสุกรขุนเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนที่ส่งผลเนื้อสุกรราคาสูง ที่ลิ้มไพบูลย์ฟาร์ม อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี
ทั้งนี้ หลังการหารือนายสัตวแพทย์ชัยวัฒน์ กล่าวว่า ภายหลังมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ผ่อนคลาย ผู้บริโภคมีความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นอย่าง ขณะที่ปริมาณการเลี้ยงสุกร ลดลง จากปัญหาปริมาณหมูในปี 2564 ลดลงจากปี 2563 จากที่ผลิตได้ปีละ 20 ล้านตัวเหลือ 19 ล้านตัว โดยส่งออก 1 ล้านตัว คงเหลือบริโภคในประเทศ 18 ล้านตัวจึงทำให้ราคาเนื้อหมูปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับการยกระดับมาตรฐานฟาร์มของเกษตรกรเพื่อป้องกันโรคระบาดจะส่งเสริมให้ปรับปรุงเป็นฟาร์มที่มีระบบการป้องกันโรคและการเลี้ยงสัตว์ที่เหมาะสม (GFM) ซึ่งค่าใช้จ่ายต่ำกว่ามาตรฐานฟาร์ม GAP เพื่อไม่ให้ต้นทุนการเลี้ยงสูงซึ่งมั่นใจว่า มาตรการสนับสนุนต่างๆ จะเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรกลับมาเลี้ยงใหม่และเพิ่มปริมาณการผลิตหมูให้เพียงพอต่อความต้องการบริโภคซึ่งจะขอความร่วมมือผู้เลี้ยงรายกลางและรายใหญ่ให้ผลิตลูกหมูให้รายย่อยและรายเล็กไปเลี้ยง ทั้งยังมีการสนับสนุนการเลี้ยงโดยจะมีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กู้ยืมจาก ธ.ก.ส. ในโครงการสานฝันสร้างอาชีพอีกด้วย
ขณะที่นายภวพรรธน์ ปฐมโพธิวัฒน์ ผู้จัดการฝ่ายผลิต ลิ้มไพบูลย์ฟาร์ม (สะพานหิน) กล่าวว่า เราเป็นฟาร์มขนาดกลาง มีการจัดการฟาร์มที่ดี เป็นระบบปิด มีมาตรการระบบป้องกันทางชีวภาพ มีสุกรประมาณ 2,500 แม่ จำหน่ายสุกรขุน ลูกสุกร มีโรงผสมอาหารเอง มีโรงฆ่าสุกรมาตรฐาน GMP มี Shop ขายเนื้อสุกรเองอีกด้วย
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี