กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดโครงการ “Prime Minister’s Science Award 2021” ขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ดำเนินงานโดย องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติและเสริมสร้างขวัญกำลังใจให้กับเยาวชนที่ได้ทำคุณประโยชน์และเป็นตัวอย่างอันดีด้านวิทยาศาสตร์ให้กับประเทศ และเป็นที่ประจักษ์ในเวทีระดับนานาชาติ
รวมทั้งยกย่องเชิดชูเกียรติครูวิทยาศาสตร์ที่อุทิศตนอย่างต่อเนื่องในการส่งเสริมการพัฒนาเยาวชนให้มีความสนใจด้านวิทยาศาสตร์และพัฒนาศักยภาพเพื่อความพร้อมต่อไปในอนาคต รวมทั้งเพื่อช่วยกระตุ้นให้เยาวชนเกิดแรงบันดาลใจ และสนับสนุนส่งเสริมให้ครูมีกำลังใจมากขึ้น ร่วมผลักดันการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งโครงการนี้นับเป็นความท้าทายสำหรับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากอยู่ในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด 19 ในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ผลงานของเยาวชนที่ส่งเข้าประกวดครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงโครงงานวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพ โดยผลงานสามารถสะท้อนมุมมองความคิดของเยาวชนได้อย่างชัดเจน สร้างสรรค์ และผสมผสานต่อแนวคิดด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ โดยเยาวชนเหล่านี้ได้ศึกษาค้นคว้าและใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อนำไปพัฒนาคุณภาพชีวิต พร้อมทั้ง โครงงานของเยาวชนคนไทยจะช่วยแก้ไขปัญหาการใช้ชีวิตของผู้คนที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสมและยั่งยืนต่อไปในอนาคตอีกด้วย
สำหรับรางวัลปีนี้ประกอบด้วย 1.รางวัล Prime Minister’sScience Project Award 2021 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 2.รางวัล Prime Minister’s Science Project Award 2021 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยแบ่งออกเป็น 3 สาขาได้แก่ สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ,สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ และ สาขาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ โดยในประเภทโครงงาน “สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ” ที่ตอบโจทย์ในการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์อย่างมีประสิทธิภาพ
กับ “โครงงาน Rapid Osteoporosis Risk Assessment: Non-Invasive Detection Kit of Calcium, Phosphate and pH in Human Sweat” ซึ่งผลงานนี้ได้รับรางวัล Prime Minister’s Science Project Award 2021ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เป็นหนึ่งสุดยอดผลงานจากโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ โดยมีเยาวชนในทีมได้แก่ นายพัฒฒ์ พฤฒิวิลัย,นายกฤษฏิ์ กสิกพันธุ์ และนายกรวีร์ลีลาอดิศร และที่ปรึกษาโครงงาน ได้แก่ นายเกียรติภูมิ รอดพันธุ์
แนวคิดของโครงงานนี้เกิดจากการค้นพบว่า ปัจจุบันคนไทยเกิดโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ค่อนข้างมากและพบเห็นได้บ่อยขึ้นและการประเมินความเสี่ยงเบื้องต้นยังไม่ได้รับความถูกต้องมากเท่าที่ควรจึงได้นำมาพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรมที่จะสามารถบ่งบอกความเสี่ยงในการเป็นภาวะโรคกระดูกพรุนได้ ด้วยวิธีการ Self-Assessment (การประเมินตนเอง) แบบ Non-Invasive (ขั้นตอนทางการแพทย์ที่ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดหรือใส่เครื่องมือแพทย์เข้าไปในร่างกาย)
ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการดูแลสุขภาพของประชากรของประเทศทุกคน โดยใช้ชุดตรวจซึ่งเป็นนวัตกรรมทดสอบบริเวณเหงื่อสามฟังก์ชั่น เพื่อการตรวจวัดปริมาณระดับไมโครของแคลเซียมฟอสเฟต และ pH สู่การบ่งชี้แนวโน้มภาวะเสี่ยงการเกิดโรคกระดูกพรุนถือเป็นผลงานที่สามารถนำไปต่อยอดและพัฒนาไปสู่วงการแพทย์ต่อไปได้ในอนาคต
อีกหนึ่งผลงานในประเภทโครงงาน “สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ” กับ “โครงงานการพัฒนาสมการเฮลิคอยด์เพื่อเพิ่มอัตราการไหลของอุปกรณ์ลำเลียงลิ่มเลือดในการรักษาทางการแพทย์”ที่คว้ารางวัล Prime Minister’s Science Project Award 2021 ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ เป็นผลงานจากโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เพชรบุรี โดยมีเยาวชนในทีม ได้แก่ นายพิตตินันท์หาญสิงห์กุญช์, นายนนทนัตถ์ เวทยานนท์และ นายพัชรพล รุจิพรพงษ์ที่ปรึกษาโครงงาน ได้แก่ นายศักดิ์นรินทร์จันทร์นาค และนางสาวพิชญ์สินีคงสุคนธ์
โดยแนวคิดของโครงงานนี้ เกิดจากปัจจุบันคนไทยมีอัตราการเสียชีวิตจากภาวะลิ่มเลือดอุดตันเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นโรคที่เกิดขึ้นเมื่อลิ่มเลือดหรือทรอมบัส มีขนาดใหญ่มากจนสามารถอุดตันหลอดเลือด สามารถพบเห็นได้บ่อยในรูปแบบของโรคต่างๆ เช่น เส้นเลือดในสมองอุดตัน หรือ ภาวะหลอดเลือดดำอุดตันที่พบได้บ่อย ซึ่งแนวทางการรักษาโรคลิ่มเลือดอุดตันนั้นมีหลายวิธี แต่ด้วยความเจริญทางเทคโนโลยีและวิทยาการต่างๆ ในปัจจุบันพบว่า มีวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากคือวิธี Mechanical Thrombectomy
ซึ่งเป็นการนำเอาลิ่มเลือดที่อุดตันออกผ่านทางสายสวนเพื่อเปิดหลอดเลือดให้เลือดสามารถไหลเวียนได้ตามปกติ เป็นหัตถการที่ต้องใช้ความละเอียดขั้นสูงซึ่งจะได้ผลดีเมื่อทำงานในเครื่องเอกซเรย์สองระนาบ ข้อดีของวิธีการรักษานี้คือ สามารถลดภาวะแทรกซ้อน อัตราความพิการและอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยลงและวิธีการนี้มีการนำเกลียวเฮลิคอยด์เข้ามาใช้ในการลำเลียงลิ่มเลือดออก โดยจากการศึกษาพบว่ามีเฮลิคอยด์อีกหลายชนิดเช่น เฮลิคอยด์ทรงกรวย เฮลิคอยด์ทรงกระบอก เฮลิคอยด์ทรงพาราโบลอยด์
ด้วยเหตุนี้เยาวชนจึงเกิดความสนใจที่จะศึกษาการลำเลียงลิ่มเลือดด้วยเกลียวเฮลิคอยด์ชนิดต่างๆ รวมถึงนำรูปเรขาคณิตที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือ Reuleaux Triangle กับ Squircle มาสร้างแบบจำลองสายลำเลียงลิ่มเลือดจากการพัฒนาสมการเฮลิคอยด์รูปแบบใหม่โดยใช้โปรแกรม SolidworksSimulation ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ได้รับการยอมรับในทางวิศวกรรมการออกแบบแบบจำลอง โดยนำสมการความต่อเนื่องในเรื่องของอัตราการไหลเชิงปริมาตรเข้ามาช่วยในการหาอัตราการไหลของลิ่มเลือดผ่านสายลำเลียงลิ่มเลือด
หาความสัมพันธ์และคุณสมบัติเกลียวเฮลิคอยด์แต่ละชนิดกับอัตราการไหลของลิ่มเลือด โดยประยุกต์เกลียวเฮลิคอยด์ที่มีคุณสมบัติที่ลำเลียงเลือดมีอัตราการไหลสูงมาเป็นเฮลิคอยด์รูปแบบใหม่ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของการลำเลียงลิ่มเลือดในทางการแพทย์ได้รวดเร็วมากขึ้น ซึ่งถือเป็นผลงานที่เยาวชนไทยสามารถนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาสร้างสรรค์ผลงานเพื่อช่วยเหลือและเป็นประโยชน์ต่อสังคมและชุมชนนำไปสู่ความก้าวหน้าที่มีศักยภาพของประเทศไทยต่อไป
ทั้งนี้ กระทรวง อว. ร่วมด้วย อพวช. สวทช. และสมาคมวิทย์ฯมุ่งเน้นให้เยาวชนเป็นตัวอย่างที่ดีและพร้อมผลักดันเยาวชนไปสู่เวทีระดับนานาชาติ รวมทั้งครู อาจารย์ในด้านวิทยาศาสตร์ ให้มีเวทีและโอกาสในการแสดงความสามารถและสร้างสรรค์ผลงานวิทยาศาสตร์นำไปสู่การพัฒนาวงการวิทยาศาสตร์ของไทยไปสู่ระดับโลก ผ่านโครงการ Prime Minister’s ScienceAward
ซึ่งรางวัลจากโครงการฯ นี้จะเป็นขวัญกำลังใจให้กับเยาวชน ครูและสถาบันการศึกษาได้เป็นอย่างดีในการที่จะมุ่งมั่นพัฒนาและสร้างสรรค์ผลงานทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรมและสิ่งแวดล้อมต่อไปในอนาคต!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี