ในขณะที่สถานการณ์โควิด-19 ได้สร้างความยากลำบากมาอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายสู่ความเป็นปกติ ทุกคนประสบกับภาวะฝืดเคืองของการทำมาหากิน รายได้ลดลง การงานหดหาย และหลายกิจการต้องปิดตัวเองลง ท่ามกลางสภาวะแห่งความยากลำบากเช่นนี้ การที่ค่าครองชีพขั้นพื้นฐานของประชาชนถูกปรับตัวให้เพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะมาจากปัญหาเรื่องการขาดแคลนหมู จนหมูแพง ทำให้ชาวบ้านต้องหนีไปบริโภคอาหารอื่นๆ จนทำให้อาหารอื่นๆ เหล่านั้นแพงตามหมู ไม่ว่าจะเป็น ไก่ ไข่ และวัตถุดิบในการทำอาหารอื่นๆ รวมไปถึงค่าก๊าซหุงต้ม และค่าขนส่งที่ปรับตัวขึ้นมา เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้
สำหรับผมแล้ว นี่คือปัญหาที่พุ่งตรงสู่ประชาชน และวิถีชีวิตของพวกเขาอย่างแท้จริง ที่จำเป็นอย่างยิ่งในการหาทางแก้ปัญหาเหล่านี้ให้สำเร็จโดยเร็ว เพื่อปลดความทุกข์ของประชาชนออกจากความหดหู่ทางเศรษฐกิจที่กัดกินความสุขของพวกเขามานานร่วม 2 ปีกว่าแล้ว
ก่อนอื่นผมคงต้องเริ่มต้นที่หัวใจของปัญหาหมูแพง และผลกระทบที่น่ากังวลในเรื่องนี้ โดยเฉพาะต่อห่วงโซ่ทางเศรษฐกิจ อันเชื่อมร้อยไปสู่การดำรงชีวิตของประชาชนคนทั่วไป รวมไปถึงเกษตรกร และผู้ประกอบการที่มีความเกี่ยวข้อง
ว่ากันตามจริง ถึงตรงนี้ ปัญหาหมูแพงกลายเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ยากแล้ว เพราะปริมาณหมูในประเทศหายไปกว่าครึ่ง จากที่เราเคยมีกว่า 20 ล้านตัวตรงนี้เองที่ทำให้หมูมีไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค ราคาของหมูจึงปรับสูงขึ้นตามระบบของธุรกิจ ดังนั้น ถ้าเราคิดตามตรรกะนี้ การหาหมูมาเพิ่มเติมประมาณ 10 ล้านตัว แทนจำนวนที่ขาดหายไป ก็น่าจะเป็นทางออกที่ง่ายที่สุด แต่เมื่อมองไปที่กระบวนการในการทำให้เกิดขึ้น ก็จะมีอยู่ 2 ทางก็คือ เลี้ยงหมูให้โตตามจำนวนหมูแม่พันธุ์ที่เรามี หรือนำเข้าหมู และหมูแม่พันธุ์เพิ่มขึ้น เพื่อนำมาเติมในตลาด และขยายพันธุ์ในทางแรกต้องใช้เวลานานถึงนานมากกว่าจะเติมเต็มตลาดที่ขาดแคลน ส่วนทางที่สองนั้น ก็จะมีปัญหาเรื่องราคาของหมูต่างประเทศที่จะสูงมาก เพราะประสบกับโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมู (ASF) และอยู่ในภาวะขาดแคลนหมู เช่นเดียวกับเรา ส่วนประเทศในทวีปยุโรป หรืออเมริกา ที่ไม่ประสบกับปัญหาเรื่อง ASF ก็ติดขัดในเรื่องของข้อกฎหมายในเรื่องของสารเร่งเนื้อแดง ที่ทางเรามองว่าเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค กระนั้น ถ้าแก้ข้อกฎหมายในเรื่องนี้ ราคาของหมูที่นำเข้ามาจากประเทศต้นทางที่อยู่ไกล ก็จะมีต้นทุนในเรื่องของการขนส่ง และการตรวจสอบมาตรฐานอาหารเพิ่มเติมเข้ามา ราคาก็จะปรับสูงขึ้นอยู่ดี นั่นหมายความว่าไม่ว่าจะรอไปอีก 1 หรือ 2 ปี ราคาหมูชุดใหม่ในตลาดก็คงไม่ต่างจากตอนนี้ หรืออาจแพงมากขึ้นกว่าเดิมไปอีกก็มีความเป็นไปได้มาก
และสิ่งสำคัญที่เราต้องใส่ใจกันให้มากขึ้นก็คือ นอกเหนือไปจากผู้บริโภคหมู ที่ต้องแบกรับราคาที่สูงขึ้นแล้ว เกษตรกรรายย่อยที่เลี้ยงหมูทั่วประเทศ ปัจจุบันนี้สาหัสมาก เพราะหมูที่พวกเขาลงทุนเลี้ยง บางฟาร์มไม่กี่หมื่น บางฟาร์มเป็นแสน เป็นล้าน และสำหรับบางคนเป็นเงินก้อนสุดท้ายของชีวิตที่นำมาลงทุน หมูของพวกเขาตายหมดแล้ว ที่เหลืออยู่ก็ประสบปัญหาเรื่องโรคระบาดรุมเร้าไม่จบ และต้นทุนในการเลี้ยงก็สูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ซึ่งหมูของฟาร์มรายย่อย หรือเกษตรกรเหล่านี้เอง เป็นเนื้อหมูที่ได้รับการส่งเข้าไปอยู่ในระบบของตลาดสด หรือเขียงหมูทั่วไปอันเป็นแหล่งจับจ่ายใช้สอยอาหารในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้า หรือร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ ที่รับหมูจากบริษัทหรือโรงงานขนาดใหญ่ ที่เลี้ยงหมูแบบระบบปิด และมีนวัตกรรมในการดูแลหมูอย่างดี จึงไม่ประสบกับปัญหาโรค ASF เหมือนเกษตรกร และผู้ประกอบการรายย่อย
ตรงนี้เองที่ทำให้การเข้าถึงหมูของประชาชนเกิดความเหลื่อมล้ำ คนรวยซื้อหมูในห้างได้ แต่ชาวบ้านทั่วไปที่มีข้อจำกัดด้านการเงิน ก็ต้องซื้อหมูเขียง ถ้าหมูแพงก็ไม่มีคนซื้อ ถ้าไม่มีคนซื้อ ก็ไม่มีพ่อค้าแม่ค้าเอามาขายหมูก็ขาดตลาด ราคาก็ปรับสูงขึ้นเข้าไปอีก แล้วเมื่อหนีไปกินไปซื้ออย่างอื่นแทน อาทิ เนื้อไก่ เนื้อวัว หรือผัก ราคาอาหารที่มีความต้องการเพิ่มขึ้น ก็จะปรับตัวสูงขึ้นเป็นทอดๆ ไป ของในตลาดก็จะทยอยกันแพง ส่วนผู้ผลิตหมูรายใหญ่ และวัตถุดิบอาหารอื่นๆ ก็ได้กำไรเพิ่มขึ้นมหาศาลจากความขาดแคลน และผลกระทบที่เป็นลูกโซ่นี้
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผมคิดว่า ทางออกที่พื้นฐานที่สุดก็คือ ถ้าเรามีบ้านที่มีบริเวณเสียหน่อย ควรที่จะเลี้ยงในสิ่งที่กินได้ และกินในสิ่งที่ตัวเองเลี้ยง ปลูกในสิ่งที่กินได้ และกินในสิ่งที่ตัวเองปลูก ตรงนี้ก็จะเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และสามารถมีอาหารกินประทังชีวิตได้ แบบนี้ข้าวยากหมากแพงแค่ไหน ก็ไม่มีทางอดตายแน่นอน
คงถึงเวลาแล้วครับ ที่พวกเราต้องกลับไปทบทวน “หลักการเศรษฐกิจพอเพียง” ที่ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9” ทรงให้ไว้กับประชาชนคนไทย ว่าให้ปลูกในสิ่งที่กิน กินในสิ่งที่ปลูก ซึ่งนี่แหละครับ เป็นหัวใจสำคัญ ที่ทำให้ชีวิตของเราเกิดความมั่นคง และยั่งยืนอย่างแท้จริง ซึ่งพอเกิดวิกฤตเช่นนี้มาแล้ว ยิ่งทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า การเดินไปสู่แนวทาง ปลูกในสิ่งที่กิน กินในสิ่งที่ปลูก เลี้ยงในสิ่งที่กิน กินในสิ่งที่เลี้ยง คือคำตอบของอนาคตอย่างแท้จริง
ผมจึงอยากเชิญชวนผ่านพื้นที่ตรงนี้ สำหรับคนที่พอจะมีพื้นที่ทำการเกษตรของตัวเอง แม้แต่คนเมืองเอง ก็เห็นว่า พื้นที่สาธารณะมากมายที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ก็สามารถเปลี่ยนเป็นพื้นที่ทำการเกษตร หรือแปลงผักสวนครัวได้ อาทิ ใต้ทางด่วน บนดาดฟ้า หรือพื้นที่รกร้างของหน่วยงานราชการต่างๆ เพียง 10 ตารางวา เราก็สามารถทำการเกษตรได้ ปลูกเพื่อกิน เหลือก็แจกจ่าย มีมากก็นำไปขาย มีแต่ได้ความมั่นคงของชีวิตกลับมา เพราะฉะนั้น มาเริ่มทำแปลงเกษตรกันเถอะครับ ไม่ต้องใช้พื้นที่เยอะ แต่ใช้ “ความแม่นยำ” คือ องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และนวัตกรรมที่เหมาะสม เราก็จะได้อาหารที่อิ่มท้อง พร้อมรายได้เล็กๆ น้อยๆ รวมไปถึงความสุขใจที่ได้สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ครอบครัวด้วยตัวเอง
แน่นอนว่า หมูแพง อาหารแพง อาจเป็นเรื่องของรัฐบาล และกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต้องจัดการปัญหาให้ประชาชน แต่ในอีกทาง ถ้าประชาชนสามารถสร้าง “ภูมิคุ้มกัน” สำหรับการดำเนินชีวิตได้เองอย่างเข้มแข็ง ด้วยการกลับไปหาธรรมชาติ กลับไปหาการเกษตร ไปอยู่กับมัน ไปใช้ชีวิตกับมัน ไปสร้างรายได้จากมัน แล้วที่สำคัญไปรับ “คุณค่า” ของอาหารที่ปลอดภัยให้แก่ร่างกายของเราในทุกๆ วัน ทั้งหมดนี้คือ ความสุขที่ผมอยากจะแบ่งปันให้กับทุกๆ คน
#หมูแพง
#เศรษฐกิจแย่ต้องแก้ด้วยความแม่นยำ
กนก วงษ์ตระหง่าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี