ศาลอาญาธนบุรี สั่งจำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา "สาวเจ้าของร้านเพชร" เบิกความเท็จ ปรักปรำ ใส่ร้ายพ่อค้าข้าวเหนียวไก่ทอดเป็นโจรวิ่งราวเพชรมูลค่า 15 ล้าน เมื่อปี 59 ตกเป็นแพะรับบาป ถูกฟ้องติดคุกฟรี นอนเรือนจำนานกว่า 7 เดือน ยกฟ้องแม่บ้าน คดีจบ แล้วศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนยกฟ้อง ตามศาลชั้นต้น โจทก์ไม่ยื่นฎีกา
วันที่ 20 มกราคม 2565 ที่ศาลอาญาธนบุรี ถ.เอกชัย ศาลมีคำพิพากษา คดีเบิกความเท็จ หมายเลขดำ อ.1150/2562 ที่นายพิสิษฐ์ สุวรรณพิมพ์ อาชีพพ่อค้าหมูปิ้ง ซึ่งเป็นอดีตจำเลยคดีวิ่งราวเพชรมูลค่า 15 ล้านบาท ได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.บุญญรัตน์ รัศมีสุขานนท์ นายดีวัง กุมาร ชีวันทิลาล ซังกาวี และนางประยอม ตันสถาพร ร่วมกันเป็นจำเลยที่1- 4 ตามลำดับในความผิดฐานนำความเท็จฟ้องผู้อื่น ฯ และเบิกความเท็จต่อศา ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 175, 177
สำหรับพฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยสรุปว่า เมื่อเดือน เม.ย.2560 พนักงานอัยการ ได้ยื่นฟ้อง นายพิสิษฐ์ โจทก์คดีนี้ เป็นจำเลยต่อศาลอาญาธนบุรี ฐานวิ่งราวทรัพย์และหน่วงเหนี่ยวกักขัง
จากกรณีมีคนร้ายคือนายแดง วิ่งราวทรัพย์แหวนเพชร 4 รายการ ของน.ส.บุญญรัตน์จำเลยที่ 1 ซึ่งประกอบอาชีพขายเพชรที่นำไปขายให้นายแดง ที่บ้านแห่งหนึ่ง ย่านภาษีเจริญ โดยคนร้ายได้กักขังจำเลยที่ 1 ไว้ในบ้านแล้วได้หลบหนีไปพร้อมถาดแหวนเพชร
ภายหลังเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจได้ส่งรูปบัตรประชาชนของโจทก์ที่เคยใช้สำหรับเปิดใช้มือถือ ให้จำเลยที่ 1 ดู แล้วยืนยันว่า ตัวโจทก์คือนายแดง คนวิ่งราวทรัพย์ และได้สอบสวนจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นแม่บ้านเป็นพยาน โดยเมื่อเดือน ก.ค.60 จำเลยที่ 1 ขอเข้าเป็นโจทกก์ร่วมคดีดังกล่าว และบริษัทจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 เข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วย ซึ่งภายหลังจำเลยที่ 1 และที่ 4 ได้เข้าการเบิกความต่อศาลคดีดังกล่าว โดยเป็นการเบิกความเท็จ ปรักปรำให้โจทก์ต้องได้รับโทษทางอาญา
ในชั้นตรวจฟ้อง ศาลมีคำสั่งรับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 และ 4 ข้อหาเบิกความเท็จ ตาม ป.อ.มาตรา 177 เท่านั้น ส่วนข้อหาอื่นให้ยก และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2-3 ซึ่งจำเลยที่ 1 และ 4 ให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า การที่จะเบิกความเท็จ ตาม ป.อ.มาตรา 177 ผู้กระทำจะต้องกระทำโดยเจตนาคือรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่นำมาเบิกความนั้นเป็นเท็จ โดยจำเลยที่ 1 เบิกความเป็นพยานในคดีดังกล่าวยืนยันว่า ตัวโจทก์คือนายแดงซึ่งเป็นคนร้ายที่วิ่งราวทรัพย์ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า โจทก์ไม่ใช่นายแดง คนร้ายในคดี
คำเบิกความดังกล่าวหากศาลฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยที่ 1 เบิกความจะมีผลให้โจทก์ได้รับโทษ จึงเป็นข้อสำคัญในคดี จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดตาม มาตรา 177 วรรคสอง
สำหรับจำเลยที่ 4 ไม่ปรากฏว่าเคยพบกับนายแดงมาก่อนเกิดเหตุ อีกทั้งในวันเกิดเหตุได้พบกับคนร้าย 2 ครั้งแต่ละครั้งใช้เวลาไม่นาน และเมื่อมีการวัดความสูงเปรียบเทียบโจทก์กับคนร้าย ภายหลังจำเลยที่ 4 จึงเบิกความใหม่ว่า โจทก์ไม่ใช่คนร้ายในคดี เมื่อไม่ปรากฏเหตุจูงใจที่จะทำให้เห็นได้จำเลยที่ 4 มีเจตนาเบิกความอันเป็นเท็จ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมายังมีข้อสงสัยตามสมควรว่า จำเลยที่ 4 กระทำผิดหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งข้อสงสัยให้ ตามประมวลกฎหมายวิธิจารณาความอาญา (ป.วิ.อ.) มาตรา 227 วรรคสอง
ศาลพิพากษาว่า น.ส.บุญญรัตน์ จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 177 วรรคสอง ฐานเบิกความเท็จ จำคุก 3 ปีโดยไม่รอลงอาญา และยกฟ้องจำเลยที่ 4
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีเพชรถูกโจรกรรม มูลค่ากว่า 15 ล้านบาท เกิดเมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2559 ในบ้านแห่งหนึ่งเขตภาษีเจริญ กรุงเทพ และตำรวจติดตามไปจับกุมตัวนายพิสิษฐ์ ได้ที่บ้านเช่าในจ.นครพนม เมื่อวันที่ 16 ก.พ 2560 และถูกอัยการยื่นฟ้องเป็นจำเลย และถูกขังที่เรือนจำพิเศษธนบุรี ระหว่างการพิจารณาคดีนาน 7 เดือน 10 วัน กระทั่งศาลอาญาธนบุรีพิพากษายกฟ้องนายพิสิษฐ์ เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2560 และได้รับการปล่อยตัวสู่อิสรภาพ
ต่อมาวันที่ 14 ก.พ. 2561 โจทก์ยื่นอุทธรณ์ กระทั่งวันที่ 14 ส.ค. 2561ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้องนายพิสิษฐ์ ตามศาลชั้นต้น จากนั้นฝ่ายโจทก์ก็ไม่ได้ขอยื่นฎีกา คดีแพะชิงเพชรจึงถือเป็นที่สิ้นสุดในวันที่ 24 ธ.ค 2561
ต่อมานายพิสิษฐ์ จึงได้นำเรื่องไปร้องเรียนหลายหน่วยงานเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม และมายื่นฟ้องต่อศาลเป็นคดีนี้ด้วยตัวเอง โดยศาลอาญาธนบุรี พิพากษาลงโทษจำคุก น.ส.บุญญรัตน์ จำเลยที่ 1 ฐานเบิกความเท็จ เป็นเวลา 3 ปี โดยไม่รอลงอาญาดังกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี