“ไทย” ถูกเรียกว่าเป็น “ประเทศกำลังพัฒนา” มานานจนมีเสียงประชดว่าเหมือนกับหยุดพัฒนา เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั้งเพื่อนบ้านและไกลออกไปที่ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนน่าเป็นห่วงว่าอนาคตของไทยจะเป็นอย่างไรเพราะขีดความสามารถในการแข่งขันลดลงล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดบรรยาย (ออนไลน์) เรื่อง“โลกขยับ ราชการต้องปรับเปลี่ยน” โดย ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสระบุรี ซึ่งมี สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นผู้บรรยาย
สุวิทย์ เริ่มต้นด้วยคำว่า “ดิสรัปชั่น (Disruption)” หรือความเปลี่ยนแปลงต่างๆ อาทิ 1.โลกาภิวัตน์ การค้าขายการลงทุนดำเนินไปแบบข้ามพรมแดน 2.ความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ส่งผลต่อรูปแบบการเรียนและทำงาน 3.วิกฤต เช่น โลกาภิวัตน์ทำให้การเดินทาง การค้าการลงทุนข้ามแดนกลายเป็นเรื่องปกติของสังคมมนุษย์ แต่เมื่อเกิดภัยพิบัติผลกระทบก็สามารถขยายเป็นวงกว้างข้ามแดนได้เช่นกัน ดังที่เห็นจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ขณะนี้ รวมถึงความแปรปรวนของภูมิอากาศ (Climate Change) ที่คนทั้งโลกได้รับผลกระทบร่วมกัน
เมื่อหันกลับมามองประเทศไทย สิ่งที่พบได้ 1.อัตราการเติบโตในระดับต่ำ ซึ่งเป็นมาตั้งแต่หลังปี 2540 ที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง 2.ขีดความสามารถในการแข่งขันถดถอย ในอดีตไทยเคยเปรียบเทียบตนเองกับมาเลเซีย แต่วันนี้ต้องมาเทียบกับเวียดนาม 3.เผชิญวิกฤตซ้ำซาก เศรษฐกิจบ้าง การเมืองบ้าง รวมถึงล่าสุดคือโรคระบาด 4.ความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้น ประเด็นนี้บ้างก็ว่าไทยติด 1 ใน 3 ของโลก บางคนถึงขนาดว่าไทยเหลื่อมล้ำที่สุดในโลกก็ยังมี และ 5.ความขัดแย้งที่รุนแรง จากการเมืองสีเสื้อสู่ความขัดแย้งระหว่างช่วงวัย
คำถามต่อมา “อะไรนำพาประเทศไทยมาถึงจุดนี้?” สุวิทย์ ชี้ไปที่ “ความบกพร่องในธรรมาภิบาล”สังคมที่ไม่สะอาดและโปร่งใส (Clean & Clear) ไม่เสรีและเป็นธรรม (Free & Fair) ไม่ห่วงใยและแบ่งปัน(Care & Share) ซึ่งสาเหตุมาจาก “กับดักเชิงโครงสร้าง”ไล่ตั้งแต่ 1.วงจรอุบาทว์ทางการเมือง สลับไป-มาระหว่างปฏิวัติรัฐประหารกับประชาธิปไตยเทียม 2.ความไม่เท่าเทียม ทั้งอำนาจ โอกาส รายได้และทรัพย์สิน 3.กับดักรายได้ปานกลาง ประเทศไทยหลุดพ้นจากประเทศด้อยพัฒนาขึ้นมาเป็นประเทศกำลังพัฒนา แต่ไม่สามารถขึ้นไปเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้
สุดท้ายต้นตอที่ทำให้ประเทศไทยติดกับดักต่างๆ ข้างต้นนั้นมาจาก “ความไม่สมดุลเชิงระบบ” ตั้งแต่โครงสร้างอำนาจที่ยังเป็นแบบโลกยุคเก่า มีการจัดลำดับชั้นจากบนลงล่าง (Hierarchy) แต่โลกยุคใหม่ต้องการโครงสร้างแบบเครือข่าย (Network) และการปรับตัวยังมีน้อย ระบอบการปกครองที่กลไกภาครัฐหรือราชการเข้มแข็งมากแต่ภาคประชาชนยังไม่เข้มแข็งทัดเทียมกัน ซึ่งนั่นนำไปสู่การพัฒนาแบบไม่สมดุล กล่าวคือ มุ่งแต่ทางเศรษฐกิจจนละเลยสังคมและสิ่งแวดล้อม
“ถ้าเรามามองดูแนวโน้มของโลก โลกจากนี้ไปคงไม่สวยหรูนัก โลกหลายทศวรรษ-หลายศตวรรษที่ผ่านมาอย่างน้อยมันยังเห็นโอกาส เห็นการเติบโตโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกระแสโลกาภิวัตน์ แต่วันนี้โลกไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว ไม่ใช่โลกใบเดิมอีกต่อไป มันเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง เต็มไปด้วยภัยคุกคาม แต่เป็นความเสี่ยงและภัยคุกคามร่วมที่เราจะต้องร่วมกับคนอื่น ประชาคมในโลกนี้
แต่ขณะที่แนวโน้มโลกไม่ดี ถ้าประเทศเราแข็งแรงเข้มแข็งเราก็อยู่ได้ เหมือนข้างนอกหนาวมากแต่ถ้าเราทำให้ร่างกายอบอุ่นแข็งแรงเราก็ไม่เป็นอะไร แต่โชคร้ายประเทศไทยเราไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่คิด แนวโน้มประเทศไทยมีความเปราะบางอย่างที่ผมได้ฉายภาพไปแล้ว จุดที่เราเป็นอยู่คือว่าในขณะที่โลกเต็มไปด้วยความเสี่ยงภัยคุกคาม ประเทศไทยมีความเปราะบางอย่างที่สุด ตรงนี้เป็นความเสี่ยง 2 ต่อเลย โอกาสข้างนอกก็ไม่มีข้างในก็ไม่มีความเข้มแข็ง” อดีต รมว.อว. กล่าว
สุวิทย์ ยกตัวอย่างต่อไปถึงภาคประชาชนและเอกชนที่พบว่ามีเพียงธุรกิจรายใหญ่ไม่กี่เจ้าที่แข็งแกร่ง ในขณะที่ธุรกิจขนาดกลาง-ขนาดย่อม (SME) ไม่ได้เป็นเช่นนั้นโดยเฉพาะภาคเกษตรถือว่าเข้าขั้นอ่อนแอ ส่วนผู้คนก็เต็มไปด้วยปัญหาหนี้สินครัวเรือน และไม่สามารถปรับตัวรับโลกยุคถัดไปได้ แต่เมื่อมองไปที่ภาครัฐ (ทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายราชการประจำ) ที่ควรจะเป็นผู้แก้ไขสถานการณ์ก็พบว่าอ่อนแอไม่ต่างกัน ซึ่งเมื่อสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้โลกหยุดชะงักเริ่มคลี่คลายแล้วประเทศอื่นๆ ออกวิ่งกันต่อ อนาคตของไทยคงไม่สดใสนัก
“แล้วทางออกอยู่ตรงไหน?” อดีต รมว.อว. กล่าวถึง “7 ประเด็นที่ต้องช่วยกันคลายปม” ซึ่งหากไม่สามารถทำได้ก็ไม่อาจก้าวต่อไปยังการปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้าง ประกอบด้วย 1.มัวแต่เสียเวลากับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น ในขณะนี้ที่มุ่งแก้ปัญหาโควิด-19 กับปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง แต่ยังมองไม่เห็นอนาคตว่าประเทศไทยจะไปทางไหน ซึ่งการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสามารถทำได้หากถูกจุด แต่ขณะเดียวกันก็ต้องวางแผนระยะยาวด้วย เช่น มีหลายประเทศแม้จะเผชิญสถานการณ์โควิด-19 เหมือนกับไทย แต่ก็พัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ไปพร้อมกัน
2.ปัญหาหมักหมมและซับซ้อนจนไม่รู้จะเริ่มแก้จากตรงไหนก่อน ซึ่งต้องหาจุดคานงัดให้เจอเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง 3.ประชาชนเห็นยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศเป็นเรื่องไกลตัว หากยังมองว่ายุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี สิ่งที่ต้องคิดต่อคือจะทำอย่างไรให้ประชาชนเห็นว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว จับต้องได้ ส่งผลเชิงบวก และทำให้ประชาชนทุกภาคส่วนอยากเข้ามามีส่วนร่วม
4.มีแผนยุทธศาสตร์ แต่ยังขาด Mandate for Change (อำนาจในการเปลี่ยนแปลง) และ Strong Commitment (ความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า) ทำอย่างไรที่แผนยุทธศาสตร์จะนำไปสู่วาระการปฏิบัติ (Action Agenda)มีตัวอย่างสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่เมื่อประเทศไทยค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติ ก็มีการตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Seaboard) ขึ้นระดมสมองนักวิชาการ จนเกิดอุตสาหกรรมใหม่ในยุคนั้นอย่างปิโตรเคมี เกิดท่าเรือน้ำลึก ฯลฯ และส่งผลมาถึงโครงการระยะที่ 2 ของเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกอย่าง EEC ในปัจจุบัน
5.แผนส่วนใหญ่คิดโดยรัฐและขับเคลื่อนจากส่วนกลาง จึงเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะมีความสุขและรู้สึกมีส่วนร่วม จึงควรให้ความสำคัญกับแนวคิดหุ้นส่วนโดยรัฐเอกชนและประชาชน (Public Private People Partnership :PPPP) 6.ทำแล้วประเทศไทยได้คนเดียว ปัจจุบันและอนาคตเราอยู่ในสภาวะที่ทั้งโลกสุขและทุกข์ร่วมกัน ดังนั้นหากไทยจะคิดค้นนวัตกรรมก็ควรเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งสังคมไทยและประชาคมโลก และ 7.ผู้นำไม่ได้ทำตนเป็นแบบอย่างที่ดี รัฐจึงขาดความน่าเชื่อถือ สิ่งสำคัญคือ“หลายเรื่องอาจประนีประนอมได้ แต่การทุจริตต้องเป็นเรื่องที่ไม่อาจประนีประนอม” เพราะการทุจริตนำไปสู่ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ทำลายระบบคุณธรรม-จริยธรรม
“ถ้าคุณสามารถปราบคอร์รัปชั่นได้จริง ความเชื่อมั่นก็จะกลับมา ประชาชนเขาก็จะกลับมา ประชาชนเขาจะรู้สึกว่าคุณเป็นต้นแบบที่ดีได้ เขาก็อยากมีส่วนร่วม แล้วมันอยู่ที่ว่าเราจะร่วมทำอะไร” อดีต รมว.อว. ฝากข้อคิด
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี