น้ำมันดิบรั่วที่มาบตาพุด
4แสนลิตร/หวั่นกระทบ
ระดมกำลังทุกฝ่ายแก้ไข
ทส.รุดโปรยสารเร่งให้จม
นายกฯสั่งระดมกำลังรับมือผลกระทบน้ำมันดิบรั่ว ที่มาบตาพุด จ.ระยอง รมว.ทรัพยากรฯเผยน้ำมันรั่วเร่งโปรยสารสลายน้ำมันให้จมก้นทะเลคาดไม่พลัดสู่ฝั่ง ยันไม่ซ้ำรอยเหตุน้ำมันรั่วปี 2556 ส่วนกองทัพเรือ ส่งอากาศยาน-เรือสำรวจ พร้อมส่งกำลังสนับสนุนอุปกรณ์ ภารกิจขจัดคราบน้ำมัน
เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมรับทราบเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลบริเวณทุ่นผูกเรือน้ำลึกเดี่ยวกลางทะเล ท่าเรือมาบตาพุด จ.ระยอง แม้จะสามารถควบคุมการรั่วไหลได้แล้วแต่นายกฯ มีความห่วงใยจึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ฯลฯ บูรณาการร่วมกับจังหวัด และบริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) รับมือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากเหตุดังกล่าว
น.ส.ไตรศุลีเผยว่านายกฯขอให้เร่งขจัดคราบน้ำมันโดยเร็ว เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด และป้องกันคราบน้ำมันไหลสู่ชายหาด และได้กำชับให้กระทรวงกลาโหม สนับสนุนกำลังพลและเรือในการแก้ไขปัญหาอย่างเต็มกำลัง พร้อมกันนี้ ยังให้ประเมินผลกระทบทางทะเล และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แจ้งเตือนประชาชนในการประกอบอาชีพ เพื่อจะได้ทราบถึงแนวทางการปฏิบัติ ไม่เกิดความตื่นตระหนกจากสถานการณ์
ที่รัฐสภา นายวราวุธศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกล่าวถึงกรณีน้ำมันดิบบริษัท สตาร์ปิโตรเลียมฯรั่วไหลกลางทะเลมาบตาพุด ว่าได้ติดตามเรื่องโดยตลอด และประสานติดตามสถานการณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทราบว่าทางบริษัทฯ แถลงว่ามีปริมาณน้ำมันรั่ว 2-4 แสนลิตร และจากการที่ ผวจ.ระยอง และเจ้าหน้าที่ได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ รวมทั้งลงเรือสำรวจ พบว่าแท้จริงแล้วปริมาณน้ำมันรั่วประมาณ 2 หมื่นลิตร ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่ไม่เลวร้ายเท่าที่คาดการณ์ไว้
นายวราวุธกล่าวต่อว่า น้ำมันที่รั่วมีลักษณะเป็นฟิล์มบางๆบนผิวน้ำ ช่วงแรกเกรงว่าน้ำมันที่รั่วจะพลัดเข้าฝั่ง แต่ขณะนี้ดูทิศทางลมและกระแสน้ำแล้ว คาดว่าไม่น่าจะเข้าฝั่ง อย่างไรก็ดี ได้มีการใช้เครื่องบินโปรยสารให้น้ำมันสลายตัวจมลงใต้ทะเล จากรายงานเบื้องต้นขณะนี้น้ำมันเริ่มแตกตัวจมลงแล้ว ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่ถ้าไม่ดีขึ้นอาจจะไปติดตามสถานการณ์ด้วยตัวเอง หลังจากนี้จะต้องศึกษาดูผลระยะยาว ว่าน้ำมันที่จมลงจะเกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างไร ซึ่งทางบริษัทฯต้องมีกองทุนเพื่อรับผิดชอบ
“การแก้ปัญหาคราบน้ำมันเราดูแค่ช่วงนี้ไม่ได้ แต่ต้องดูระยะยาว่าสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลจะได้รับผลกระทบอย่างไร ผมได้กำชับผู้ว่าฯ ให้พูดคุยกับทางบริษัทฯ ให้ดูในเรื่องนี้ด้วย ส่วนการดำเนินการทางกฎหมายจะต้องดูรายละเอียด”นายวราวุธ กล่าวและย้ำว่าขอฝากไปยังผู้ประกอบการธุรกิจสายส่งน้ำมันให้ดูแลระบบสายส่งให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน100%เพื่อเป็นการป้องกันปัญหา
ผู้สื่อข่าวถามถึงผลกระทบต่อการบริโภคอาหารทะเล รมว.ทรัพยากรฯ กล่าวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะตอบเรื่องนี้ ต้องดูว่าน้ำมันจมลงใต้ทะเลกระทบอะไรกับห่วงโซ่อาหารหรือไม่ แต่ยืนยันว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ซ้ำรอยเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วที่เกาะเสม็ด เมื่อปี 2556 เพราะปีนั้นมีน้ำมันดิบที่รั่วไหลจำนวนมหาศาล ดังนั้น ขอให้พี่น้องชาว จ.ระยอง ชาวเกาะเสม็ด และชาวบ้านบริเวณชายหาดแม่รำพึงวางใจได้
ขณะที่ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผวจ.ระยอง พล.ต.ต.วรา เวชชาภินันท์ผบก.ภ.จว.ระยอง ลงเรือของกรมทรัพยากรฯ ออกติดตามเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลดังกล่าว อยู่ห่างจากชายฝั่งท่าเรือมาบตาพุดไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 20 กิโลเมตร พบว่ามีปริมาณน้ำมันหลงเหลืออยู่ในทะเลประมาณ 20 ตัน
นอกจากนี้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสมาคมอนุรักษ์สภาพแวดล้อมของกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมัน ในการช่วยเหลือน้ำยาขจัดคราบน้ำมัน อุปกรณ์ขจัดคราบน้ำมัน และทางบริษัทฯได้ประสานงานกับบริษัท Oil Spill Response Limited (OSRL) ประเทศสิงคโปร์ ส่งผู้เชี่ยวชาญมาให้ความช่วยเหลือทันที คาดว่าจะสามารถขจัดและเก็บคราบน้ำมันได้ทั้งหมดในไม่ช้า รวมทั้งทางบริษัทฯ ได้ส่งทีมงานติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับการดำเนินงานของโรงกลั่นน้ำมัน บริษัทฯ ยังสามารถเดินเครื่องได้ตามปกติโดยไม่มีผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว
วันเดียวกัน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สำหรับกรณีที่เกิดขึ้นได้มอบหมายให้ นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เร่งตรวจสอบและติดตามสถานการณ์ รวมทั้งหาสาเหตุพร้อมกับแนวทางแก้ไขปัญหาต่อไป
นายวีริศ กล่าวว่าได้รับรายงานประมาณการณ์น้ำมันดิบที่รั่วไหลไม่เกิน 1.6 แสนลิตร หรือ 128 ตัน คิดเป็น 0.04% ของน้ำมันในเรือ ขณะที่เรือมีความจุประมาณ 3.2 แสนตัน อย่างไรก็ดี หลังจากปิดวาล์วที่เกิดเหตุได้สำเร็จ เจ้าหน้าที่ได้ล้อมพื้นที่รัศมีไม่เกิน 1 ตารางกิโลเมตร พร้อมกับฉีดพ่นน้ำยาขจัดคราบน้ำมัน โดยจุดเกิดเหตุห่างจากชายฝั่งประมาณ 20 กิโลเมตร คาดว่าจะส่งผลกระทบไม่มากนัก
“ตามที่ รมว.อุตสาหกรรม สั่งการกนอ.หาสาเหตุของการรั่วไหลเบื้องต้นพบว่าท่อดังกล่าวมีการบำรุงรักษาอุปกรณ์ตามแผนดำเนินงานของทางบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากนี้อาจต้องขอดูแผนในการดูแลและบำรุงรักษารวมถึงอายุการใช้งานของท่อว่ามีอายุการใช้งานเท่าไหร่ จำเป็นต้องปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงแผนให้มีความเหมาะสมหรือไม่ เพื่อจะนำข้อมูลต่างๆ เหล่านี้มาวางแนวทางให้เข้มงวดมากขึ้น หรือให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาร่วมคิดและวางแผนในการดูแลและบำรุงรักษาด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำขึ้นอีกในอนาคต”นายวีริศ ระบุ
ด้าน พล.ร.ท.ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า เหตุที่เกิดขึ้นทางบริษัทฯ แจ้งว่าสามารถควบคุมและหยุดการรั่วไหลได้แล้วซึ่งหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งกองทัพเรือ ได้เฝ้าติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้กองทัพเรือ ได้สั่งการให้ ทัพเรือภาคที่ 1 ส่งเครื่องบินลาดตะเวน ขึ้นบินสำรวจคราบน้ำมันทางอากาศ และจัด เรือ ต. 273 กับเรือ ต.228 ออกตรวจสอบคราบน้ำมันบนผิวน้ำ นอกจากนี้ยังจัดเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ ขึ้นบินตรวจสอบทิศทางการรั่วไหลของคราบน้ำมัน รวมถึงการโปรยสารให้น้ำมันสลายตัวในบริเวณพื้นที่เกิดเหตุ
พล.ร.ท.ปกครอง กล่าวอีกว่า ได้เตรียมกำลังพลและยุทโธปกรณ์พร้อมสำหรับสนับสนุนหน่วยงานต่างๆ ในการขจัดคราบน้ำมัน รวมถึงมีการจัดตั้งศูนย์ควบคุมปฏิบัติในการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน ทัพเรือภาคที่ 1 แล้ว (ศคปน.ทรภ.1) ส่วนการประเมินสถานการณ์นั้น ขอให้ติดตามข่าวสารจากกรมควบคุมมลพิษต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี