“วราวุธ” ยันเอาผิดบริษัทต้นเหตุน้ำมันรั่วลงทะเล ทวงคืนค่าเสียหายทุกด้าน ส่วนอธิบดีกรมทรัพยากรฯ เผยส่งเจ้าหน้าที่แจ้งความแล้ว ด้านผู้ประกอบการกว่า 200 ราย เข้ายื่นขอเยียวยาที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด
เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ นายวราวุธศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวถึงกรณีน้ำมันรั่วจากท่อใต้ทะเล ในพื้นที่ จ.ระยอง ว่าหลังจากควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันประเมินและสรุปความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทั้งความเสียหายทางเศรษฐกิจ ค่าเสียโอกาสทางการท่องเที่ยว การประมง การประกอบอาชีพของคนในพื้นที่ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการแก้ปัญหา ยืนยันว่าจะดำเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด เพื่อทวงคืนจากบริษัทซึ่งเป็นต้นเหตุตามมูลค่าความเสียหายและค่าใช้จ่ายที่ภาครัฐใช้แก้ปัญหานี้
นายวราวุธ กล่าวต่อว่า ยังโชคดีที่กระแสคลื่นลมส่งผลให้ปริมาณคราบน้ำมันพัดเข้ามาถึงชายหาดแม่รำพึงไม่มากอย่างที่คาดการณ์ไว้ ขณะนี้ยังต้องป้องกันบริเวณอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด ซึ่งมีทั้งหาดทรายและปะการังน้ำตื้น โดยกำชับให้ทุกหน่วยงาน ทั้งของ ทส. กองทัพเรือ รวมถึงประชาชนในพื้นที่ ระดมทั้งเรือและ Boom สกัดกั้นบริเวณร่องเสม็ด จากที่ตรวจพบคราบน้ำมันที่ชายหาดอ่าวพร้าว กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้เก็บตัวอย่างน้ำและดินตะกอนส่งตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อวิเคราะห์ว่าเป็นคราบน้ำมันที่รั่วไหลใต้ทะเลพัดขึ้นหาดหรือไม่
ด้านนายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ยืนยันว่าได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่ สภ.มาบตาพุด ไว้เป็นหลักฐานว่าหากทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเกิดความเสียหายจากผลกระทบของคราบน้ำมันรั่วไหลในครั้งนี้ ก็ขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด ซึ่งเป็นต้นเหตุของความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อไป
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก (ศวทอ.) ส่งเจ้าหน้าที่สำรวจระบบนิเวศปะการังและชายหาดอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด ตลอดแนวหาดทรายระยะทาง 300 เมตรและหาดหินทั้งด้านในและด้านนอกของอ่าว รวมถึงดำน้ำสำรวจแนวปะการังบริเวณน้ำตื้นจนถึงขอบแนวปะการังที่ความลึก 5 เมตรปรากฏว่าไม่พบคราบน้ำมันบนหาดทรายและหาดหิน รวมทั้งไม่พบคราบน้ำมันบนผิวโคโลนีปะการัง ส่วนพฤติกรรมของสัตว์น้ำในบริเวณระบบนิเวศที่สำรวจ เช่น ปลาและหอย ยังคงเป็นปกติ
สำหรับผลการสำรวจระบบนิเวศหญ้าทะเล 1 สถานี ได้แก่ อ่าวเพ ที่ระดับความลึก 30 เซนติเมตร ชนิดหญ้าที่พบ ได้แก่ หญ้ากุยช่ายเข็ม หญ้ากุยช่ายทะเล และหญ้าใบมะกรูด ซึ่งไม่พบคราบน้ำมันผิวน้ำทะเลและบนผิวใบหญ้าทะเลและไม่มีกลิ่นน้ำมัน คุณภาพสิ่งแวดล้อมในแหล่งหญ้าทะเล ความเค็ม 31.4 ส่วนใน 1,000 ส่วน ค่าออกซิเจนละลายน้ำ 7.43 มิลลิกรัมต่อลิตร ความเป็นกรดด่าง 8.04 อุณหภูมิ 30.8 องศาเซลเซียส โดยคุณภาพน้ำทะเลอยู่ในเกณฑ์ปกติ (มาตรฐานคุณภาพน้ำทะเลประเภทที่ 4 เพื่อการนันทนาการ)
จากการติดตามคุณภาพสิ่งแวดล้อมทางทะเล ตลอดจนการปนเปื้อนของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนในสิ่งแวดล้อมทางทะเลบริเวณระบบนิเวศชายหาด 6 สถานีได้แก่ หาดสุชาดา หาดแสงจันทร์ หาดแม่รำพึง (คลองหัวรถ) หาดแม่รำพึง (ก้นอ่าว) บ้านเพ และหาดสวนสน เบื้องต้นพบว่า สภาพน้ำทะเลเป็นปกติ ไม่พบสัตว์น้ำตายเกยหาด
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์ดำรงธรรม จ.ระยอง ได้ออกตั้งหน่วยเคลื่อนที่รับเรื่องร้องทุกข์จากผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีน้ำมันดิบรั่วลงทะเล ที่ชายหาดแม่รำพึง ต.เพ อ.เมือง จ.ระยอง ซึ่งปรากฏว่า ได้มีผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบเดินทางเข้ายื่นเรื่องลงทะเบียนขอรับการเยียวยาอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการตามแนวชายหาดแม่รำพึง ทั้งกิจการร้านอาหาร เตียงผ้าใบ บังกะโล รีสอร์ท ยอดรวมเกือบ 200 ราย โดยคาดว่าจะมีผู้ลงทะเบียนเพิ่มขึ้นอีก
ขณะที่บรรยากาศบริเวณชายหาดแม่รำพึง ในช่วงเช้าวันเดียวกัน มีน้ำทะเลขึ้นสูง คลื่นลมแรง มีการปักธงแดงตลอดแนวชายหาด และกั้นทุ่นป้องกันน้ำมันให้เห็นเป็นระยะๆ โดยน้ำทะเลไม่พบคราบน้ำมัน ส่วนที่เกาะเสม็ด บริเวณอ่าวพร้าว หลังจากมีคราบลักษณะเป็นฝุ่นคราบเขม่า ลอยขึ้นที่ชายหาด เจ้าหน้าที่ ได้ทำการเก็บซับและเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี