จับ‘เจ้าคุณแจ๊ค’รองเจ้าคณะจังหวัดนครนายก
คดีเงินทอนวัด123ล.
ตำรวจปปป.ล้างบาปปราบอลัชชี
พร้อมแจ้ง3ข้อหา/เค้นสอบ11สมภาร
พบแอบถ่ายโอนเงินไปซื้อที่ดิน
สั่งตามอายัดโฉนดได้หลายแปลง
สะเทือนวงการสงฆ์ ตำรวจ ปปป.เปิดปฏิบัติการ“ล้างบาปปราบอลัชชี” ทุจริตเงินทอนวัดเฟส 4 จับ “เจ้าคุณแจ๊ค” รองเจ้าคณะจังหวัดนครนายก โดนแจ้ง 3 ข้อหาคดีเอี่ยวเงินทอนวัดพบแอบผ่องถ่ายเงินไปซื้อที่ดินตามอายัดโฉนดได้หลายแปลง พร้อมเรียก 11 เจ้าอาวาสสอบเข้ม ผบช.ก.นำแถลงขบวนการรวมทุจริตสูญกว่าร้อยล้าน
เมื่อเช้าวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. นำกำลังเจ้าหน้าที่ 0000บก.ปปป. บูรณาการกำลังร่วมกับ เจ้าหน้าที่ บก.ปอท, เจ้าหน้าที่ บก.รฟ., เจ้าหน้าที่ บก.ทล., เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. รวมกว่า 60 นาย เปิดปฏิบัติการ “ล้างบาปปราบอลัชชี ทุจริตเงินทอนวัด” กระจายกำลังเข้าตรวจค้นเป้าหมาย 5 จุด ในพื้นที่ จ.นครนายก จ.นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร เพื่อตามจับผู้กระทำผิดทุจริตเงินอุดหนุนวัด ของสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) รวมถึงตรวจยึดทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิด
โดยเป้าหมายสำคัญของการตรวจค้นอยู่ที่กุฏิเจ้าอาวาสวัดเขาทุเรียน ต.เขาพระ อ.เมือง จ.นครนายก ซึ่งเป็นที่จำวัดของพระสิทธิวรนายก หรือ”เจ้าคุณแจ๊ค” เจ้าอาวาสวัด หรืออีกตำแหน่งคือรองเจ้าคณะจังหวัดนครนายก ทั้งนี้ เมื่อพบตัวพระสิทธิวรนายก เจ้าหน้าที่จึงแสดงหมายค้นศาลจังหวัดนครนายก เพื่อขอเข้าทำการตรวจค้นหาพยานหลักฐานต่างๆ ภายในกุฏิ ก่อนนิมนต์พระสิทธิวรนายกไปยัง สภ.เมืองนครนายก เพื่อทำการสอบปากคำ พร้อมกับแจ้งข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังได้นิมนต์เจ้าอาวาสวัดอื่นๆในพื้นที่ จ.นครนายกที่เกี่ยวข้องอีก 11วัด มาทำการสอบปากคำยัง สภ.เมืองนครนายก อีกด้วย
สำหรับปฏิบัติการดังกล่าว สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ พนักงานสอบสวน บก.ปปป.ได้รับการร้องเรียนให้ดำเนินการตรวจสอบงบอุดหนุนวัดของสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ช่วงระหว่างปี 2550-2559 ของ จ.นครนายก หลังพบความผิดปกติหลายอย่างจนเชื่อได้ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น จึงลงพื้นที่สืบหาข้อเท็จจริง จนกระทั่งพบว่า นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีต ผอ.สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีทุจริตเงินทอนวัดเคสเก่า ที่อยู่ระหว่างหลบหนี พร้อมพวกเจ้าหน้าที่ พศ. ได้ร่วมกับพระสิทธิวรนายก และเจ้าอาวาสวัดต่างๆ ในพื้นที่ ทุจริตเงินอุดหนุนจาก พศ. ที่อนุมัติให้วัดต่างๆ ในพื้นที่ จ.นครนายก 12 วัด ในวงเงินงบประมาณ 123 ล้านบาท
โดยหลังจากเจ้าอาวาสแต่ละวัดได้รับเงินอุดหนุนแล้ว ก็จะทำการถอนเงินสดออกมาทั้งหมดแล้วนําไปให้พระสิทธิวรนายก จากนั้นก็จะแบ่งเงินเพียงบางส่วนทอนให้วัดต่างๆ คืนไปโดยอ้างว่าจะต้องเอาเงินส่วนที่เหลือไปมอบให้ พศ. เพื่อนําไปบริจาคให้กับวัดอื่นๆ ที่ยังขาดแคลนงบประมาณ รวมเงินที่เจ้าอาวาสวัดเขาทุเรียนรวบรวมมาได้ กว่า 110 ล้านบาท ก่อนจะนําเงินไปแบ่งกับนายนพรัตน์
จากการสืบสวนยังพบอีกว่า ทั้งอดีต ผอ.สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และเจ้าอาวาสวัดเขาทุเรียน หลังได้เงินมาแล้ว ได้นำเงินบางส่วนไปซื้อที่ดิน ทรัพย์สินต่างๆ จํานวนมาก โดยมีหลักฐานยืนยันชัดเจนแล้วว่าทั้งคู่ได้กว้านซื้อที่ดินจากชาวบ้านในพื้นที่ จ.นครนายก ที่มีความสนิทกันจํานวน 3 แปลง เนื้อที่รวมกว่า 10 ไร่ มูลค่ารวมประมาณ 18.6 ล้านบาทโดยให้บุคคลในครอบครัวเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนในลักษณะอําพรางปกปิด ซึ่งถือว่าเป็นการกระทําที่ส่อไปในทางทุจริต และถือเป็นความผิดอาญาฐานร่วมกันฟอกเงิน จึงนำไปสู่การเปิดปฏิบัติการดังกล่าวในวันนี้ขึ้นมาเพื่อตามตรวจค้นจับกุมและตรวจยึดทรัพย์สินที่ดินเหล่านี้กลับคืนสู่พระพุทธศาสนา
ต่อมา เวลา10.30น.ที่ห้องแถลงข่าว ชั้น 2 อาคารสำนักงานกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก., พ.ต.อ.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ รอง ผบก.ปปป.และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าวปฏิบัติการ “ล้างบาปปราบอลัชชี” ดำเนินคดีผู้ร่วมขบวนการทุจริตเงินอุดหนุนวัด ความเสียหายกว่า 110 ล้านบาท
พ.ต.อ.ประสงค์ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากเมื่อปี 2554-2559 บก.ปปป. ได้รับเรื่องร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับ พระสิทธิวรนายก (ประเชิญ เมืองเกษม) เจ้าอาวาสวัดเขาทุเรียน และรองเจ้าคณะจังหวัดนครนายก ต.เขาพระ อ.เมือง จ.นครนายก กับ นายนพรัตน์ อดีต ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และพวก ได้ร่วมกันทุจริตเงินอุดหนุนที่ได้รับอนุมัติให้วัดในพื้นที่ จ.นครนายก 12 วัด รวมงบประมาณ 123 ล้านบาท โดยให้เจ้าอาวาสแต่ละวัดที่ได้รับเงินอุดหนุน ถอนเงินสดออกมาทั้งหมดแล้วนำไปให้พระสิทธิวรนายก จากนั้น พระสิทธิวรนายก จะแบ่งเงินเพียงบางส่วนทอนให้วัดต่างๆคืนไป โดยอ้างว่าจะต้องเอาเงินส่วนนี้ไปมอบให้สำนักพุทธเพื่อนำไปบริจาคให้กับวัดอื่นที่ยังขาดแคลนงบประมาณ ซึ่งรวมเงินที่พระสิทธิวรนายก รวบรวมมาได้เป็นจำนวนกว่า110ล้านบาท
ภายหลังได้มีการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแล้วบางส่วนจนศาลพิพากษาลงโทษจำคุก ส่วนที่เหลือได้หลบหนีออกนอกประเทศ จึงได้มีการขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ที่หลบหนีไว้เพื่อติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป ซึ่งเงินที่ได้มานั้นพระสิทธิวรนายก จะแบ่งกับนายนพรัตน์ และนำเงินบางส่วนนำไปซื้อที่ดิน จากชาวบ้านในพื้นที่ จ.นครนายก 3 แปลง เนื้อที่รวมกว่า 10 ไร่ มูลค่ารวมประมาณ 18.6 ล้านบาท โดยให้บุคคลในครอบครัวเป็นผู้ถือกรรมสิทธิแทน
พ.ต.อ.ประสงค์กล่าวอีกว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเปิดปฏิบัติการเข้าตรวจค้นและตรวจยึด สถานที่เป้าหมายจำนวน 5 จุด ในพื้นที่ จ.นครนายก จ.กรุงเทพฯ และ จ.นนทบุรี โดยแบ่งเป็นวัดเขาทุเรียน ต.เขาพระ อ.เมือง จ.นครนายก, อายัดที่ดิน ต.หินตั้ง อ.เมือง จ.นครนายก เนื้อที่รวม 7 ไร่ รวมมูลค่า 17.5 ล้านบาท,อายัดที่ดิน ต.หนองแสง อ.ปากพลี จ.นครนายก เนื้อที่ 3 ไร่ รวมมูลค่า 1.1 ล้านบาท, หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ย่าน หมู่ 3 ต.พิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี และ หมู่บ้านแห่งหนึ่งย่าน ถ.ราชพฤกษ์ แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน จ.กรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังมีการตรวจยึดสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารจำนวน16 เล่มยอดเงินรวม1.3ล้านบาท
พ.ต.อ.ประสงค์ เผยอีกว่าเบื้องต้นจะดำเนินการแจ้ง ข้อกล่าวหาพระสิทธิวรนายก ร่วมกันยักยอกทรัพย์,ฟอกเงิน และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และจะดำเนินการตรวจสอบที่มาการครอบครองของรายการทรัพย์สินที่ตรวจยึดได้ หากพบว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการทุจริตจริง ก็จะดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์ นอกจากนี้ ได้เชิญเจ้าอาวาสจากวัดในพื้นที่ จ.นครนายก เข้าสอบปากคำเพิ่มเติม หากพบว่ามีความผิดก็จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าปฎิบัติการกวาดล้างเงินทอดวัดหนนี้ถือเป็นละลอกที่ 4 หรือ เฟส4 หลังจากที่ก่อนหน้านี้ดำเนินคดีกับพระและฆารวาส ได้รับโทษติดคุกไปหลายคน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี