25 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ รร.แกรนด์ริชมอนด์ ถ.รัตนาธิเบศร์ อ.เมือง จ.นนทบุรี มีการจัดประชุมนำเสนอผลการดำเนินงาน VIA Road Safety Education Programme เพื่อสร้างทักษะด้านความปลอดภัยทางถนนในกลุ่มนักเรียน โดย นางรัตนวดี เหมนิธิ ประธานกรรมการมูลนิธิป้องกันอุบัติภัยแห่งเอเชีย (AIP) กล่าวว่า ประเทศไทยมีสถิติอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงเป็นอันดับ 9 ของโลก และอุบัติเหตุจากมอเตอร์ไซค์สูงเป็นอันดับ 1 ของทวีปเอเชีย โดยช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตเฉลี่ย 2 หมื่นราย บาดเจ็บรุนแรงเฉลี่ย 150,000-200,000 คน และผู้พิการ 7,000-13,000 คน
เมื่อดูตามช่วงวัย ยังพบว่า กลุ่มเยาวชนอายุ 15-19 ปี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมากที่สุด เฉลี่ยปีละ 2,000 ราย เทียบเท่าจำนวนนักเรียนในโรงเรียนขนาดใหญ่ 1 โรง ซึ่งเด็กและเยาวชนถือเป็นกลุ่มเสี่ยงเพราะยังมีระดับการตัดสินใจและความระมัดระวังในการใช้รถใช้ถนนไม่เท่ากับผู้ใหญ่ เช่น เด็กเดินข้ามถนนอาจไม่สามารถคาดคะเนความเร็วของรถที่สัญจรได้ หรือการเว้นระยะห่างช่องว่างเพื่อการข้ามถนนอย่างปลอดภัย รวมถึงไม่รู้ความหมายของเครื่องหมายจราจรอย่างเพียงพอ เมื่อมาบวกกับผู้ขับขี่ยานพาหนะที่ประมาท อุบัติเหตุก็เกิดขึ้นได้
“นับเป็นเรื่องยินดีอย่างยิ่งที่มิชลินและโททาลเอนเนอยี่ส์ ผลักดันให้ดำเนินโครงการ VIA Road Safety Education ขึ้นในประเทศไทย และสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนของ VIA ในโรงเรียน 36 แห่ง ซึ่งสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ และโรงเรียนสังกัดสำนักการศึกษากรุงเทพมหานครอีก 9 แห่ง” นางรัตนวดี กล่าว
นางรัตนวดี กล่าวต่อไปว่า ในฐานะคนทำงานด้านความปลอดภัยทางถนนมากว่า 20 ปี ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายทำได้ยาก โดยเฉพาะในประเทศไทยหลักสูตรการศึกษานั้นแน่นมาก การนำประเด็นความปลอดภัยทางถนนเข้าไปในหลักสูตรจึงไม่ง่าย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันความเปลี่ยนแปลงไม่อาจรอคอยจากระดับนโยบาย ครูซึ่งเป็นผู้ใช้หลักสูตรจึงเป็นตัวแปรสำคัญที่สุด การรวมกลุ่มครูที่สนใจหลักสูตร VIA เพื่อผลักดันต่อผู้มีอำนาจ ซึ่ง VIA เป็นหลักสูตรที่ทำให้เนื้อหาธรรมดาที่คุ้นชินจนน่าเบื่อ เข้าไปถึงความรู้สึกจองผู้เรียนได้
น.ส.พรรณพร คงยิ่งยง ผู้อำนวยการกลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร สภากาชาดไทย กล่าวว่า ในปี 2563-2564 แม้สถิติอุบัติเหตุบนท้องถนนดูจะลดลง แต่ปัจจัยสำคัญมาจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่ทำให้การเดินทางลดลง เช่น มีการกักตัวบ้าง ทำงานจากที่บ้าน (work from home) บ้าง ทั้งนี้ จากการคำนวณพบว่า หากไม่ทำอะไรเลย ในอีก 10 ปีข้างหน้า จะมีประชากรอายุ 15-19 ปี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงถึง 37,321 ราย ในทางกลับกันหากลดสถิติการเสียชีวิตได้ร้อยละ 5 ต่อปี ในอีก 10 ปีข้างหน้า จะช่วยรักษาชีวิตไว้ได้ถึง 14,752 คน
และเนื่องจากอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนของไทยสูงถึง 30 ต่อประชากร 1 แสนคน มากกว่าค่าเฉลี่ยของโลกซึ่งอยู่ที่ 10 ต่อประชากร 1 แสนคน ถึง 3 เท่า สภากาชาดไทยจึงยกประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นวาระเร่งด่วนตั้งแต่ปี 2563 โดยมีแผนปฏิบัติการ 1.สร้างความตระหนักรู้ ประชาสัมพันธ์ความสำคัญของการปฏิบัติตามกฎจราจรตั้งแต่ภายในองค์กรสภากาชาดไทยเอง ไปจนถึงสถาบันการศึกษาที่มีเครือข่ายยุวกาชาด
2.พัฒนาสื่อการเรียนการสอนทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ ตลอดจนกิจกรรมของยุวกาชาด โดยสภากาชาดไทยเริ่มพัฒนาหลักสูตรในปี 2564 ผ่านการหารือกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดว่าเร็วๆ นี้น่าจะสามารถเผยแพร่ให้นำไปใช้ได้ 3.แสวงหาความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ในการให้ความรู้และสร้างความตระหนักในการใช้รถใช้ถนนกับเยาวชน เช่น คาดเข็มขัดนิรภัย สวมหมวกกันน็อก 4.สร้างอาสาสมัครท้องถิ่น เพื่อร่วมกันดูแลความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน และ 5.กระตุ้นให้เกิดกิจกรรมทำความดี ด้วยรางวัลเชิดชูเกียรติ
“ตัวชี้วัดของเราก็จะเป็นจำนวนโรงเรียน นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาทักษะ ที่มีทักษะที่เหมาะสมในการใช้รถใช้ถนน แล้วการดำเนินงานหลักก็จะดำเนินงานโดยสำนักงานยุวกาชาด สำนักงานบริหารกิจการเหล่ากาชาด สำนักงานบรรเทาทุกข์ โรงเรียนมัธยมในส่วนภูมิภาค ภาคเอกชนต่างๆ ผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ อันนี้ก็เป็นแผนงานที่เราวางไว้สำหรับภารกิจนี้” ผอ.กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร สภากาชาดไทย ระบุ
นายปัญณ์ จันทร์พาณิชย์ หัวหน้ากลุ่มพัฒนามาตรการป้องกันการบาดเจ็บจากการจราจร กองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า เยาวชนอายุ 15-19 ปี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนเฉลี่ย 2,000 รายต่อปี แต่หากรวมเด็กอายุ 10-14 ปีเข้าไปด้วย จะพบว่า ในแต่ละปีจะมีเด็กและเยาวชนอายุ 10-19 ปี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนเฉลี่ย 3,000 ราย และสถิติผู้บาดเจ็บซึ่อยู่ที่ปีละ 9 แสนคน ในจำนวนนี้ร้อยละ 27 อยู่ในช่วงอายุ 10-19 ปี
ซึ่งช่วงอายุ 10-19 ปี เป็นปีทองที่จะสามารถสร้างความตระหนักรู้และปลูกฝังทักษะการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย เพราะหากพ้นวัยนี้ไปแล้วจะเข้าถึงได้ยากเนื่องจากทำงานแล้วบ้าง เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยบ้าง ทั้งนี้ การบังคับใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียวจะครอบคลุมปัญหาเพียงร้อยละ 32 เท่านั้น แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่าคือการประเมินความเสี่ยงและการตัดสินใจ รวมถึงความผิดพลาดในการควบคุมรถ สิ่งเหล่านี้ที่ผ่านมาไม่เคยมีการสอนคนไทยอย่างจริงจัง
โดยมีตัวอย่างผลการศึกษาผู้ขี่มอเตอร์ไซค์ พบว่า ร้อยละ 28 หัดขี่ด้วยตนเอง ส่วนอีกร้อยละ 72 คนใกล้ตัวเป็นผู้สอน อาทิ พ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ เพื่อน รุ่นพี่ ฯลฯ แต่ไมได้ผ่านการฝึกทักษะขับขี่อย่างปลอดภัย ขณะที่อายุเฉลี่ยที่เริ่มหัดขี่อยู่ที่ 10 ปี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ประเทศไทยมีสถิติผู้เสียชีวิตสูง ทั้งนี้ เกาหลีใต้ เป็นตัวอย่างกรณีการให้ความรู้ด้านทักษะความปอลดภัยทางถนนอย่างจริงจังตั้งแต่เด็ก รวมถึงมีหลักสูตรอบรมครู และมีการติดตามประเมินผลต่อเนื่อง จนสามารถลดสถถิติผู้เสียชีวิตจากประมาณ 1,000 คน เหลือ 100 คน หรือลดลงถึง 10 เท่า
“เขามีการอบรมครูด้านความปลอดภัยทางถนนโดยเฉพาะ 5 ปี อบรมไป 3 หมื่นคน ถามว่าประเทศไทยอบรมกันกี่คน เรามีครูภาษาไทย คณิตศาสตร์ นาฎศิลป์ พลศึกษา เขาก็จบเอกของเขา แต่ครูที่รักษาความปลอดภัยของนักเรียนเราคิดว่าให้ใครมาทำก็ได้ใช่ไหม ให้ใครสอนก็ได้หรือเปล่า แต่จริงๆ เรื่องแบบนี้มันต้องผ่านการอบรม ได้เรียนรู้ เขาอบรมตั้ง 36,000 คน แต่ประเทศไทยไม่มีแนวคิดนี้ เราจะพัฒนาเด็กควรจะพัฒนาใครก่อน ก็คือครู” นายปัญณ์ กล่าว
นางชลธิชา พยัคฆ์พงศ์ ผู้แทนสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า แม้ตนจะเกษียณอายุราชการมาแล้ว 2-3 ปี แต่ก็ยังสนับสนุนโครงการนี้อยู่เบื้องหลังตลอด สำหรับประเด็นที่ต้องคิดกันต่อไปคือจะทำอย่างไรให้หลักสูตร VIA เชื่อมโยงกับหลักสูตรหลักของการศึกษาไทย ทั้งนี้ หลักสูตรส่วนใหญ่สอนให้เด็กทำประโยชน์ต่อส่วนรวมหรือรักส่วนรวม มีเพียงน้อยนิดที่จะสอนให้รักตนเอง เห็นความปลอดภัยของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่กับชีวิตประจำวันตั้งแต่เดินออกจากบ้าน
นายกษริน ตริณตระกูล ผู้แทนกองบูรณาการความปลอดภัยทางถนน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า ในต่างจังหวัดที่ไม่มีระบบขนส่งมวลชน ผู้คนต้องเดินทางด้วยยานพาหนะของตนเอง เรื่องนี้จะไปห้ามไม่ให้ขับขี่คงทำไม่ได้ หลักสูตร VIA จึงเป็นการสอนทักษะการเอาชีวิตรอดตั้งแต่ออกจากบ้านแล้วจะต้องเผชิญกับอะไรบ้างเพื่อให้อยู่รอดบนท้องถนน เช่น การเข้า-ออกซอย การมองซ้าย-ขวา การเดินข้ามถนน
น.ส.พรชนก อารมณ์สุขโข ครูกลุ่มสาระฯ วิทยาศาสตร์ โรงเรียนวัดทรงธรรม อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ซึ่ง ร.ร.วัดทรงธรรม เป็นโรงเรียนนำร่องกลุ่มแรกของประเทศไทยในการใช้หลักสูตร VIA สอนนักเรียน ให้ความเห็นว่า อยากให้กระทรวงศึกษาธิการบรรจุเป็นหลักสูตรแกนกลาง เพราะนอกจากวิชาการที่ผู้เรียนได้เรียนรู้แล้ว ทักษะในการดำรงชีวิตก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ซึ่งการขาดทักษะการดำรงชีวิต อาจทำให้การใช้ชีวิตเป็นไปได้ยากยิ่งกว่าการขาดทักษะทางวิชาการเสียด้วยซ้ำไป
สำหรับหลักสูตร VIA Road Safety Education Programme ถูกพัฒนาขึ้นในปี 2560 จากผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและด้านความปลอดภัยบนท้องถนน มีมิชลินและโททาลให้การสนับสนุน และบริหารจัดการโดย Global Road Safety Partnership (GRSP) องค์กรที่ได้รับการสนับสนุนโดยสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ (International Federation of the Red Cross and Red Crescent Societies)
ปัจจุบันมีการใช้งานใน 30 ประเทศทั่วโลก โดยมีจุดเด่นอยู่ที่การเรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่จำลองสถานการณ์ใกล้เคียงท้องถนนจริง เช่น การให้ผู้เรียนได้นั่ง ณ ที่นั่งคนขับของรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ แล้วมองหาเพื่อนๆ ที่ยืนถือป้ายตามจุดต่างๆ รอบตัวรถ เพื่อเรียนรู้เรื่องของจุดบอด หรือจุดที่ผู้ขับขี่มองไม่เห็น ซึ่งเป็นจุดที่ต้องหลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่เพราะสุ่มเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุถูกเฉี่ยวชนได้
หรือการให้ผู้เรียนปิดตาแล้วเดินจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง เพื่อให้ตระหนักความสำคัญของการมองทาง โดยเฉพาะยุคปัจจุบันที่ผู้คนมักใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนกันแทบทุกขณะของชีวิต แต่การเดินเท้าหรือขับขี่ยานพาหนะแล้วสายตาจดจ่ออยู่กับมือถือ ก็เป็นพฤติกรรมเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุเพราะไม่ได้มองเส้นทางที่อยู่ตรงหน้า รวมถึงสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่อยู่รายรอบ เป็นต้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง ‘VIA’หลักสูตรความปลอดภัย ลดเด็กไทย‘เจ็บ-ตาย’บนถนน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี