“2 หมื่นศพต่อปี” เป็นสถิติ “ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนในประเทศไทย” ที่ประมวลจากข้อมูล 3 ฐานคือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด อีกทั้งความอันตรายของถนนเมืองไทยยังเป็นที่เลื่องลือในระดับโลก เนื่องจากรายงานขององค์การอนามัยโลก ปี 2558 จัดอันดับให้ไทยเป็นอันดับ 2 ของโลกด้านอันตรายบนท้องถนน ก่อนที่ปี 2561 จะปรับลดลงมาอยู่ที่อันดับ 9 แต่ก็ยังจัดว่าอยู่ใน “ท็อปเทน” ที่ไม่น่าปลื้มใจสักเท่าไร
โดยเฉพาะ “เด็ก-เยาวชน” ถือเป็น “กลุ่มเสี่ยงสำคัญ” ไปไม่ถึงการเป็นอนาคตของชาติเพราะจบชีวิตลงเสียก่อน หรือที่ยิ่งไปกว่านั้นคือต้องกลายเป็นผู้พิการ ดังที่ก่อนหน้านี้ “ทีมงาน นสพ.แนวหน้า” เคยนำเสนอไปแล้วครั้งหนึ่ง (ยุคเกิดน้อย‘ผู้เยาว์’ทรัพยากรมีค่า ลงทุนลด‘เจ็บ-ตายบนถนน’จำเป็น : หน้า 17 ฉบับวันที่ 25 ต.ค. 2564) ซึ่งปัญณ์ จันทร์พาณิชย์ หัวหน้ากลุ่มพัฒนามาตรการป้องกันการบาดเจ็บจากการจราจร กองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค เปิดเผยสถิติเด็กและเยาวชนที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ในปี 2562 อันเป็นปีสุดท้ายก่อนที่ทั้งโลกจะล็อกดาวน์ ลดการเดินทางเคลื่อนย้ายจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19
พบว่า “จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน ปี 2562 เป็นประชากรอายุ 15-19 ปี อยู่ที่ 2,183 คน คิดเป็นร้อยละ 10.96 ของผู้เสียชีวิตทุกกลุ่มอายุ ขณะที่ประชากรอายุ 10-14 ปี อยู่ที่ 651 คน คิดเป็นร้อยละ 3.2 ของผู้เสียชีวิตทุกกลุ่มอายุ” ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับ “พฤติกรรมการใช้จักรยานยนต์ (มอเตอร์ไซค์)” โดยเด็กไทยเริ่มหัดขับขี่ที่อายุเฉลี่ย 10-14 ปี แต่ส่วนใหญ่เป็นการหัดด้วยตนเองบ้าง หรือคนใกล้ตัว เช่น พ่อแม่ พี่ รุ่นพี่เพื่อน ฯลฯ หัดให้บ้าง ซึ่งขาดการเรียนรู้ทักษะด้านความปลอดภัย และนำไปสู่ความสูญเสีย
นั่นจึงนำไปสู่แนวคิดการจัดทำ “หลักสูตรความปลอดภัยทางถนน” เพื่อให้ความรู้กับเด็กและเยาวชน แนวคิดนี้เคยใช้ได้ผลมาแล้วใน เกาหลีใต้ ย้อนไปในปี 2535 เคยมีเด็ก (อายุต่ำกว่า 15 ปี ตามนิยามขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ-OECD) เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน 1,114 ราย แต่เมื่อผ่านไป 20 ปี ในปี 2555 พบเด็กเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน 110 รายลดลงอย่างเห็นได้ชัดถึง 10 เท่า
หนึ่งในเบื้องหลังของความสำเร็จคือการจัดทำหลักสูตรความปลอดภัยและสอนกันอย่างจริงจังตั้งแต่ชั้นอนุบาล โดยกระทรวงศึกษาธิการแดนกิมจิ กำหนดให้จัดการศึกษาความปลอดภัยทางถนนประจำปีสำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลและชั้นประถมศึกษา อย่างน้อย 30 และ 23 ชั่วโมง ตามลำดับ มีการฝึกอบรมครูที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยที่โรงเรียน ผลิตและแจกจ่ายสื่อการสอนความปลอดภัยทางถนน ตลอดจนจัดศูนย์อุทยานจราจรสำหรับเด็ก
ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2564 ที่ผ่านมา มีการเปิดตัว“VIA Road Safety Education Programme” หลักสูตรความปลอดภัยทางถนน นำร่องใน 5 โรงเรียนในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ และอีก 45 โรงเรียนใกรุงเทพมหานคร (กทม.) หลักสูตรนี้เป็นการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง มีการจำลองสถานการณ์ เช่น “การให้ผู้เรียนได้นั่ง ณ ที่นั่งคนขับของรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ แล้วมองหาเพื่อนๆ ที่ยืนถือป้ายตามจุดต่างๆ รอบตัวรถ” เพื่อเรียนรู้เรื่องของ “จุดบอด” หรือจุดที่ผู้ขับขี่มองไม่เห็น ซึ่งเป็นจุดที่ต้องหลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่เพราะสุ่มเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุถูกเฉี่ยวชนได้
หรือ “การให้ผู้เรียนปิดตาแล้วเดินจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง” เพื่อให้ตระหนักความสำคัญของ “การมองทาง”โดยเฉพาะยุคปัจจุบันที่ผู้คนมักใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนกันแทบทุกขณะของชีวิต แต่การเดินเท้าหรือขับขี่ยานพาหนะแล้วสายตาจดจ่ออยู่กับมือถือ ก็เป็นพฤติกรรมเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุเพราะไม่ได้มองเส้นทางที่อยู่ตรงหน้า รวมถึงสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่อยู่รายรอบ เป็นต้น
หลักสูตรนี้ได้รับการสนับสนุนโดย “มิชลิน-โททาล”แบรนด์ยางรถยนต์และน้ำมันเครื่องชื่อดังระดับโลก ซึ่งพรวดี ปิยะคุณ ผู้อำนวยการฝ่ายความสัมพันธ์ภาครัฐ บริษัทสยามมิชลิน จำกัด เล่าว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและด้านความปลอดภัยบนท้องถนน ได้ร่วมกันพัฒนาหลักสูตรตั้งแต่ปี 2560 และบริหารจัดการโดย Global Road Safety Partnership (GRSP) องค์กรที่ได้รับการสนับสนุนโดย สหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ (International Federation of the Red Cross and Red Crescent Societies) เริ่มใช้ใน 2 ประเทศแรกคือ อินเดียกับฝรั่งเศส ก่อนขยายไปในอีก 30 ประเทศทั่วโลก โดยคัดเลือกจากประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตบนท้องถนนที่สูง
ด้าน ปาสคาล ลารอช (Pascal Laroche) ประธานกลุ่มบริษัทโททาลเอนเนอยี่ส์ ประเทศไทย กล่าวว่า หลักสูตรนี้จะสอนให้เด็กและเยาวชนมีคุณสมบัติติดตัวด้านความตระหนักในความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เริ่มโครงการนำร่องไปเมื่อเดือน มี.ค. 2564 กับ 5 โรงเรียนในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ และล่าสุดคือโครงการระยะที่ 2 ใน 45 โรงเรียนนำร่องในพื้นที่ กทม. ซึ่งจะมีนักเรียนได้รับประโยชน์ประมาณ 5,700 คน โดยมี AIP (มูลนิธิป้องกันอุบัติภัยแห่งเอเชีย) เป็นผู้ดำเนินการด้านการปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประสบความสำเร็จ โครงการ VIA ต้องใช้เวลาดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 3 ปี โดยมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายไปที่เด็กนักเรียนอายุ 10-18 ปี
เกรียงไกร จงเจริญ ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การสูญเสียชีวิตเด็กและเยาวชนซึ่งประเมินค่าไม่ได้จากอุบัติเหตุบนท้องถนน เป็นความท้าทายว่าจะทำให้ลดลงได้อย่างไร แต่ก็ต้องยอมรับว่าเด็กและเยาวชนอาจมีพฤติกรรมคึกคะนอง มีการลอกเลียนแบบจากเพื่อนๆ เช่น ขี่มอเตอร์ไซค์ต้องแว้น ซึ่งต้องช่วยกันสื่อสารว่านั่นเป็นพฤติกรรมเสี่ยงต่อการบาดเจ็บล้มตาย โครงการหลักสูตร VIA Road Safety Education Programme จึงเป็นการจุดประกายใหม่กับสังคม และคาดว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า น่าจะมีเครือข่ายเข้าร่วมมากขึ้น
อรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงข้อมูลที่ระบุว่า ในจำนวนผู้เสียชีวิตบนท้องถนนเฉลี่ย 2 หมื่นรายต่อปี เป็นเด็กและเยาวชนประมาณ 3 พันรายต่อปี หากคิดเป็นรายเดือนจะพบว่ามีเด็กและเยาวชนเสียชีวิตบนท้องถนน 250 รายต่อเดือน หรือหากคิดเป็นรายวันจะอยู่ที่ 9 รายต่อวัน ซึ่งสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง ความสูญเสียนี้เป็นเรื่องเจ็บปวดอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ลำพังผู้บริหารสถานศึกษาและครูอาจยังไม่เพียงพอ จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ปกครองด้วย อีกทั้งยังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีพันธมิตรอีกหลายภาคส่วนมาร่วม รวมถึงให้มีการปฏิบัติได้จริง เพื่อให้โครงการนี้จะเกิดประโยชน์กับสังคมไทย โดยเฉพาะลูกหลานของเราซึ่งเป็นอนาคตของชาติได้ดีต่อไป!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี