พี่สาวแรงงานชาวบุรีรัมย์ที่ทำงานนวดแผนไทยในยูเครน เผยดีใจน้องสาวปลอดภัยคาดกลับถึงไทยพรุ่งนี้ แต่กังวลสถานการณ์สู้รบยืดเยื้อทำให้น้องไม่สามารถกลับไปทำงานได้เหมือนเดิม ซึ่งจะส่งผลกระทบกับความเป็นอยู่ครอบครัวและปัญหาหนี้สิน เพราะน้องเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวต้องทำงานส่งเสียลูก 2 คนลำพังทั้งต้องดูแลพ่อแม่ที่แก่ชราด้วย วอนหน่วยงานภาครัฐช่วยเหลือ
วันที่ 1 มี.ค.65 นางสุมารีย์ เทวัญรัมย์ หรือโอ๋ อายุ 43 ปี ชาวอำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นพี่สาวของ น.ส.ทัศนีย์ ยอดไธสง อายุ 39 ปี หนึ่งในแรงงานชาวไทยที่ไปทำงานเป็นพนักงานนวดแผนไทยอยู่ประเทศยูเครน ที่กำลังเกิดการสู้รบรุนแรงมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก ได้พยายามโทรวีดีโอคอลผ่านแอพพลิเคชั่นเฟสบุ๊ก เพื่อติดต่อสอบถามข่าวคราวจากน้องสาว แต่ก็ไม่สามารถติดต่อทางวิดีโอคอลได้คาดว่าน่าจะเป็นเพราะระบบสัญญาณมือถือจึงใช้วิธีส่งข้อความแชทสนทนาถามข่าวจากน้องสาวแทน
จากการส่งข้อความสนทนากันน้องสาวบอกว่าทางนายจ้างที่ยูเครนได้ประสานกับสถานทูต เพื่อให้ความช่วยเหลือพาไปอยู่ยังสถานที่ปลอดภัยแล้วก็รู้สึกดีใจ โดยทางสถานทูตได้อพยพแรงงานไทยประมาณ 60 คนรวมถึงน้องสาวของตัวเองด้วย ไปอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งที่กรุงวอร์ซอประเทศโปแลนด์ และเตรียมจะขึ้นเครื่องกลับมาที่ไทยแล้วคาดว่าน่าจะถึงสนามบินสุวรรณภูมิในวันพรุ่งนี้ ส่วนจะได้เดินทางกลับมาบ้านวันไหนก็ต้องรอทางหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องแจ้งอีกครั้ง เพราะคาดว่าน่าจะมีการตรวจหาเชื้อและกักตัวตามมาตรการป้องกันโควิดก่อน ถึงจะอนุญาตให้เดินทางกลับบ้าน
นางสุมารีย์ บอกว่า น้องสาวเดินทางไปทำงานที่ประเทศยูเครนเมื่อเดือน เมษายน 2564 ที่ผ่านมา ถึงปัจจุบันก็เกือบจะครบปีแล้ว แต่กำหนดสัญญาจ้าง 2 ปี ส่วนสาเหตุที่น้องสาวตัดสินใจไปทำงานเป็นพนักงานนวดแผนไทยที่ประเทศยูเครน เพราะได้ค่าแรงสูงกว่าทำงานในประเทศไทย ประกอบกับเมื่อปีที่แล้วเกิดสถานการณ์โควิดระบาด หางานทำในไทยค่อนข้างลำบาก แต่ที่ยูเครนอนุญาตให้เดินทางไปทำงานได้จึงตัดสินใจไป
เพราะตอนนี้น้องสาวก็เหมือนเป็นเสาหลักของครอบครัว เพราะเลิกรากับสามีต้องเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวทำงานส่งเสียลูก 2 คน คนโตเรียนมหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ ปี 1 และคนเล็กเรียน ม.4 ทั้งยังต้องดูแลพ่อแม่วัยชรา ที่สำคัญก็มีภาระหนี้สินด้วย ซึ่งหลังจากน้องสาวไปทำงานที่ยูเครนก็มีเงินส่งกลับบ้านเดือนละกว่า 20,000 บาทก็เป็นรายได้ที่สามารถดูแลครอบครัวได้ไม่ลำบาก
แต่พอเกิดสถานการณ์สู้รบและต้องถูกอพยพกลับ ในฐานะพี่น้องก็กังวลแทนน้องว่าหากสถานการณ์สู้รบยืดเยื้อแล้วไม่สามารถกลับไปทำงานได้เหมือนเดิม แล้วจะหาเงินที่ไหนมาดูแลครอบครัวและใช้หนี้สิน แม้เบื้องต้นนายจ้างจะช่วยเหลือให้เงินติดตัวมาคนละประมาณ 20,000 บาท และเมื่อมาถึงไทยก็จะได้เงินเยียวยาจากกองทุนฯ อีก 15,000 บาท ก็คงบรรเทาความผลกระทบได้แค่เบื้องต้นเท่านั้น แต่ห่วงเรื่องระยะยาวหลังจากนี้ จึงอยากให้หน่วยงานภาครัฐช่วยเหลือหากไม่สามารถกลับไปทำงานที่ยูเครนได้ก็น่าจะจัดหาตำแหน่งงานในประเทศอื่นที่มีค่าแรงไม่ต่างกันให้ทำแทนจะได้ไม่กระทบกับครอบครัว เพราะถ้าทำงานในไทยค่าแรงคงไม่พอเลี้ยงครอบครัวหรือใช้หนี้แน่นอน - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี