คนจนพรวด!บพท.แนะตอบ 3 คำถามให้ได้ก่อนแก้ ‘สถาบันการศึกษา’สำคัญ
2 มีนาคม 2565 นายกิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวในงานแถลงข่าว “บพท. : พลังความรู้ พัฒนาคน พัฒนาพื้นที่” ณ สยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ ย่านอโศก กรุงเทพฯ ว่า จากการศึกษาแนวทางแก้ความยากจนจากหลายประเทศทั่วโลก สามารถสรุปออกมาเป็นคำถาม 3 ข้อ คือ 1.คนจนอยู่ที่ไหน 2.จะช่วยเหลืออย่างไรให้ตรงกับบริบท และ 3.จะทำให้เกิดความยั่งยืนได้อย่างไร
เบื้องต้นเมื่อศึกษาบริบทประเทศไทย พบว่า มีความพร้อมทั้งนโยบาย กลไก ฐานข้อมูล และโครงการประจำปีของหน่วยงานภาครัฐทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น แต่สิ่งที่ขาดคือการบูรณาการ ซึ่งนี่เป็นปัญหาที่คลาสสิกมากของไทย อย่างไรก็ตาม สำหรับการบูรณาการข้อมูลที่ดีจะเกิดขึ้นได้ในระดับพื้นที่เท่านั้น จึงเป็นที่มาของระบบค้นหาและสอบทานคนจนในพื้นที่ โดยใช้ระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (TP Map) เป็นฐาน เพื่อนำมาวิเคราะห์ให้เห็นว่าคนจนอยู่ในพื้นที่แบบไหน ตกหล่นจากการสำรวจมากน้อยเพียงใด
“สิ่งที่ค้นพบน่ากลัวมาก คือมีคนจนตกหล่น แน่นอนมันต้องมีอยู่แล้ว ว่าใครไมได้ เราเจอครัวเรือนที่มีลูกสาว 3 คน ไม่มีสตางค์ซื้อผ้าอนามัย เราเจอคนจนที่ยาสีฟัน 1 หลอดใช้ได้ 2 ปี แล้วคนจนแบบนี้เชื่อไหมว่าคนที่อยู่บ้านข้างเคียงยังไม่รู้เลยว่ามีคนจนอย่างนี้ในหมู่บ้าน เพราะฉะนั้นการทำระบบค้นหาและสอบทานคือคำตอบ” นายกิตติ ระบุ
นายกิตติ กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมามีการสำรวจข้อมูลเกิดขึ้นตลอดเวลาอยู่แล้ว ทั้งที่ทำโดยภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม แม้แต่ชุมชนทำกันเองก็มี แต่เมื่อสถาบันการศึกษาแสดงบทบาทเป็นพื้นที่กลาง ให้ชุมชนเกิดความสบายใจ ผู้คนก็จะมาร่วมกันค้นหา แต่ในอีกด้านหนึ่ง นอกจากคนยากจนแล้ว ยังมีคนอยากจนด้วย เช่น บ้านหลังใหญ่หรูหราแต่ได้รับสวัสดิการช่วยเหลือของรัฐ แต่เรื่องนี้ไปโทษประชาชนก็ไม่ได้ เพราะปัญหามาจากเรื่องขอข้อมูล โดยการตามหาคนจนจะใช้แต่เพียงเกณฑ์ความยากจนตามรายได้คงไม่เพียงพอ
จากการดำเนินการดังกล่าวนำมาสู่การพัฒนาระบบข้อมูลครัวเรือนยากจนเพื่อการวิเคราะห์ และส่งต่อการให้ความช่วยเหลือ (PPP Connext) ระบบนี้ไม่ใช่ระบบที่วิเคราะห์จากฐานปัญหา แต่วิเคราะห์จากฐานทุน 5 ด้าน นำมาสู่ข้อค้นพบที่น่าสนใจ เช่น บางคนมีการศึกษาน้อยแต่มีพรรคพวกหรือเครือข่ายเยอะ บางคนไม่มีทั้งการศึกษาและเครือข่ายแต่ก็ยังมีฐานทรัพยากร และการคิดจากฐานทุนเหล่านี้จะนำไปสู่แนวทางการแก้ปัญหาความยากจน
ขณะเดียวกัน ระบบส่งต่อความช่วยเหลือเกิดได้จากความร่วมมือ ทั้งจากส่วนกลางที่กระทรวง ทบาง กรมต่างๆ ต้องเปิด จากส่วนพื้นที่ เช่น ระดับจังหวัดที่มีกลไกอยู่แล้ว แต่ใช้มหาวิทยาลัยเข้าไปสนับสนุน และจากการทำงานข้างต้น จากข้อมูล TP Map ปี 2562 พบคนจนใน 20 จังหวัดนำร่อง 242,214 คน แต่หลังจากตามหากันอย่างจริงจัง ปัจจุบันพบคนจนในพื้นที่ดังกล่าวถึง 824,806 คน โดยจะมีการส่งต่อความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในมิติต่างๆ ขณะที่งบประมาณก็ไม่ใช่งบจากโครงการวิจัย แต่เป็นงบที่ท้องถิ่นดำเนินการอยู่แล้ว
นอกจากนั้นยังมีการสนับสนุนจากภาคประชาสังคม วัด บ้าน โรงเรียน วิสาหกิจชุมชน ทั้งนี้ แม้ไทยไม่สามารถทำได้แบบประเทศจีน ที่การแก้จน 1 พื้นที่ ใช้งบประมาณ 30 ล้านหยวน หรือราว 150 ล้านบาท อีกทั้งระดมสรรพกำลังไปดำเนินการแบบประกบตัวต่อตัว เช่น 1 เจ้าหน้าที่รัฐ 1 ครัวเรือนยากจน แต่ไทยนั้นมีพลังแฝงอยู่มาก ประเด็นสำคัญคือจะเอาคนจนเข้าไปในห่วงโซ่คุณค่าของการผลิตในพื้นที่ได้อย่างไร และสิ่งนี้คือความยั่งยืน
“ปีนี้เราจะทำยุทธศาสตร์แก้จน ทำให้ดูเป็นตัวอย่างว่า เราจะมีอำเภอ มีพื้นที่หนึ่งซึ่งเคลียร์คนจนได้ทั้งอำเภอทั้งตำบล เพื่อทำให้เห็นพลวัติของการแก้ปัญหาความยากจนที่เป็นวงรอบ ก็ช่วยภาวนาให้เราด้วย ให้เราสำเร็จ ถ้าเราสำเร็จมันก็จะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เราต้องทำให้คนลุกขึ้นมาไม่บ่น ต้องลุกขึ้นมาบอกว่าพรุ่งนี้เราจะทำอะไร แทนที่จะลุกขึ้นมาแล้วบอกว่าวันนี้มีปัญหาเรื่องใด” นายกิตติ กล่าว
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี