เจ้าอาวาสวัดคีรีวิหาร เมืองตราด ยันไม่รู้ไม่เห็นการยักยอกเงินกว่า 90 ล้านบาทของคนใกล้ชิด "สมเด็จพระวันรัต" มาดำเนินการก่อสร้างวัดและโรงเรียนคีรีวิหาร ด้าน ผอ.โรงเรียนระบุไม่มีเงินผ่านบัญชีโรงเรียนเผยคนของสมเด็จวันรัต มาดำเนินการเองทั้งหมด ขณะที่ "เสี่ยเพ่ง" ยอมรับเงินผ่านบัญชี 134 ล้านบาท แต่แค่ทำเรื่องเบิกและมีผู้เบิกให้ เผย 6 เม.ย.นี้ "ผู้การกองปราบฯ" จะเข้ามาพบ
วันนนี้ (5 เม.ย.65) ที่วัดคีรีวิหาร ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด ผู้สื่อข่าวเดินทางไปติดตามปัญหาเรื่องคนใกล้ชิดสมเด็จพระวันรัต อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ยักยอกเงินกว่า 90 ล้านมาดำเนินการก่อสร้างวัดและโรงเรียนคีรีวิหาร ซึ่งพระโสภณธรรมธาดา (หัน คุณวตฺโต) เจ้าอาวาสวัดคีรีวิหาร ที่จำวัดอยู่และมีอาการโรคหัวใจได้เปิดเผยว่า ในเรื่องการทุจริตเงินพัฒนาวัดคีรีวิหาร และโรงเรียนคีรีวิหารนั้น ตนไม่ทราบเรื่องนี้ เพิ่งมาทราบจากผู้สื่อข่าว ซึ่งสมเด็จวันรัต ท่านเป็นผู้เกิดที่ตำบลชำราก และบวชเรียนที่วัดก่อนไปเรียนต่อที่วัดบวรนิเวสวิหาร และเมื่อเติบโตขึ้น มีตำแหน่งทางสงฆ์จึงได้เดินทางมาพัฒนาวัดคีรีวิหารที่เคยได้บวชเเละเรียนมา ซึ่งมาดำเนินการเมื่อปี 2523 ด้วยการเดินทางมาและนำกฐินมาทอดอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งได้มีการสร้างกุฏิและบูรณะวัด ได้มีการสร้างที่พักในบริเวณวัด ซึ่งใช้เป็นที่พักของสมเด็จวันรัต เมื่อเดินทางมาที่ จ.ตราด
"ส่วนเรื่องการนำเงินพัฒนาวัดและโรงเรียนนั้น อาตมาไม่ทราบเรื่องเงิน และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่ประการใดเพราะเป็นเงินคนละส่วนและไม่มีกรรมการวัดรับรู้ทั้งสิน ส่วนจะมีมาดำเนินการนั้นไม่รู้ แต่สิ่งที่ดีงามก็คือเป็นผู้ทีทไม่ทิ้งถิ่นไม่ทิ้งที่ และมีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ อาตมาเป็นเสมือนลูกพี่ลูกน้อง อายุเท่ากัน แต่มีพรรษามากกว่าเท่านั้น ส่วนสถานที่ก่อสร้างโรงเรียนก็เป็นเพียงผู้จัดหาให้เท่านั้น"
นางสาวธิดา เมฆวะทัต ผู้อำนวยการโรงเรียนคีรีวิหาร (สมเด็จวันรัตอุปถัมป์) เปิดเผยว่า ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาหลังจากเข้ามาอยู่โรงเรียนคีรีเวส (รัตนเพียรอุปถัมป์) หลังจากนั้น ผู้อำนวยการคนเก่าได้เกษียณอายุจึงเข้ามาดำรงตำแหน่งแทน และได้มีการรวมโรงเรียนคีรีวิหาร และโรงเรียนวัดคีรีเวส (รัตนเพียรอุปถัมป์) เข้าด้วยกัน หลังจากสมเด็จพระวันรัตมีดำริที่จะก่อสร้างโรงเรียนให้เพื่อยกระดับพัฒนาโรงเรียนให้มีมาตรฐานการเรียนการสอนที่เท่าเทียมกับโรงเรียนในตัวจังหวัด เพื่อให้ลูกหลายของตำบลชำราก ไม่ต้องเดินทางไปเรียนไดลบ้าน ซึ่งอาคารที่มีการก่อสร้างทุกอาคารได้รับงบประมาณจากสมเด็จพระวันรัตทั้งหมดและเงินก่อสร้างไม่ผ่านบัญชีของโรงเรียนแต่ประการใด
"ดิฉันได้เข้ามาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และเมื่อเข้ามาก็เสนอให้ยุบโรงเรียนคีรีเวส (รัตนเพียรอุปถัมป์) และย้ายมาอยู่ในที่เดียวกัน และได้ขอย้ายสังกัดจากสำนักงานพื้นที่เขตประถมศึกษาตราด ไปอยู่ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษาที่ 17 (จันทบุรี-ตราด) ซึ่งงบประมาณของโรงเรียนจะได้เป็นค่าหัวของจำนวนนักเรียนส่วนที่มีการก่อสร้างอาคารหรืออุปกรณ์เครื่องมือที่ทันสมัยนั้น ได้รับงบประมาณก่อสร้างจากเงินของสมเด็จพระวันรัตทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งเท่าที่รับทราบก็คือได้มีการจัดสรรเงินเพื่อดำเนินการก่อสร้างทั้งหมดไว้แล้ว โดยจะมีคนใกล้ชิดเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด ส่วนที่เคยขอไปก็คืออาคารเรียนอุนบาลและโรงอาหารท่านก็ได้ดำเนินการก่อสร้างให้และใกล้จะเสร็จแล้ว" ผู้อำนวยการโรงเรียน กล่าว
นางสาวธิดา กล่าวอีกว่า ก่อนที่สมเด็จวันรัตจะมรณภาพนั้น ท่านได้กล่าวให้ความมั่นใจว่า อาคารทั้งหมดจะมีงบประมาณก่อสร้างทั้งหมดและเสร็จตามวัตถุประสงค์เพราะได้มีการเตรียมงบประมาณไว้หมดแล้ว จึงไม่น่าเป็นห่วงในเรื่องนี้ ขณะที่การดำเนินต่อไปนี้จะทำงานและดูแลโรงเรียนให้ดีให้สมกับวัตถุประสงค์ที่สมเด็จท่านได้ดำริไว้
ด้านผู้คุมงานก่อสร้าง (ไม่ขอเปิดเผยชื่อ) ที่กำลังคุมแรงงานก่อสร้างโรงอาหาร-โรงยิมโรงเรียนวัดคิรีวิหาร (สมเด็จพระวันรัตอุปถัมภ์) เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต เมื่อเวลามีการโครงการก่อสร้างของเจ้าประคุณ ตนก็จะเป็นผู้ได้รับความไว้วางใจให้เข้ามาคุมแรงงานก่อสร้าง โดยอาคารโรงเรียนวัดคิรีวิหารทั้งหมด ตนเป็นผู้คุมงานแรงงานก่อสร้างทุกหลังและจะมีลูกศิษย์อีกคนหนึ่งของเจ้าประคุณเข้ามาตรวจงานอีกรอบ
ส่วนเรื่องงบประมาณในการก่อสร้างอาคารแต่ละหลังของโรงเรียนนั้นตนไม่รู้ยอดเงิน เพราะที่ผ่านมาเจ้าประคุณจะเบิกเงินมาจ่ายให้เองในแต่ละงวด จึงไม่มีปัญหาในเรื่องของการทุจริต แต่เมื่อเจ้าประคุณเข้ารักษาอาการอาพาธโรคมะเร็งถุงน้ำดี เมื่อเดือนธันวาคม 2564 พบพฤติกรรมที่นายเนยเขียนเช็คออกมาเพื่อนำเงินไปจ่ายตามโครงการก่อสร้างต่างๆ แต่ไม่ยอมนำไปให้เป็นลักษณะที่เก็บเช็คเอาไว้เอง
ทางด้านนายสุรศักดิ์ อิงประสาร หรือ"เสี่ยเพ่ง" เจ้าของโรงโม่เพชรสยามศิลาตราด และผู้บริจาคที่ดิน 30 ไร่เพื่อก่อสร้างวัดรัตนวรารามกล่าวว่า ได้รู้จักสมเด็จพ่อ (สมเด็จพระวันรัต) เมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา และเมื่อทราบว่าท่านจะต้องการสร้างวัดจึงได้บริจาคที่ดินกว่า 30 ไร่เพื่อก่อสร้างวัดที่เรียกว่าวัดรัตนวราราม ซึ่งกว่าจะดำเนินการก่อสร้างได้ต้องขออนุญาตจากสำนักพุทธจังหวัดตราดเพื่อส่งไปยังส่วนกลาง ซึ่งเมื่อได้รับการอนุญาตแล้วได้ดำเนินการวางศิลาฤกษ์ โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มาเป็นประธาน
หลังจากนั้นสมเด็จพ่อได้มอบหมายให้คนชื่อเนยและมงคลเข้ามาดูแลและโอนเงินเข้ามาในบัญชีของโรงโม่เพชรสยามศิลาตราด ซึ่งการเบิกจ่ายต้องมี 3 คน ซึ่งตนก็เป็น 1 ในนั้น แต่จะไม่เคยไปเบิกจ่ายในธนาคาร เพราะจะมีผู้เบิกจ่ายแทน โดยเงินทั้งหมดที่ดำเนินการก่อสร้างมา 5-6 ปีนั้นผ่านเข้าบัญชีจำนวน 134 ล้านบาท และล่าสุดก่อนที่สมเด็จพ่อจะมรณภาพได้มีการโอนเงินมาให้ 19 ล้านเพื่อดำเนินก่อสร้างในส่วนที่เหลืออีก 10%
"ผมขอบอกเลยว่า ที่ผ่านมาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการเบิกจ่ายเงินใดๆ และไม่มีส่วนร่วมการยักยอกเงินในครั้งนี้ เพราะว่าการเบิกเงินจะมีผู้รับรู้อยู่ 3 คน และการเบิกจ่ายจะใช้ 2 ใน 3 แต่ผมไม่เคยไปเบิกเลย เเต่เมื่อมีค่าใช้จ่ายเท่าไรก็จะแจ้งไปแล้วนำมาจ่าย ทั้งในเรื่องค่าแรง ค่าวัสดุก่อสร้าง หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด ซึ่งเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มาก เพราะคนใกล้ชิดเป็นผู้กระทำ ซึ่งก่อนหน้านี้สมเด็จพ่อได้เปรยมาขอให้เร่งสร้างให้เสร็จก่อนที่จะไม่ได้เห็นวัด ซึ่งก็ไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น แต่ก็ต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จตามเจตจำนงของสมเด็จพ่อให้ได้" นายสุรศักดิ์ กล่าว
พร้อมเปิดเผยว่า "ในวันที่ 6 เม.ย.นี้ ผมได้รับการประสานจากผู้บังคับการกองปราบปรามจะเดินทางมาพบที่โรงโม่หินเพชรสยามศิลาตราด เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งผมพร้อมที่จะให้ดำเนินการตรวจสอบทั้งหมดและมีหลักฐานที่จะให้ทางตำรวจกองปราบฯได้รับรู้ด้วย" - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี