เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 14 พ.ค.65 นายแพทย์เศวต ศรีศิริ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพริ้นซ์ อุบลราชธานี พร้อมทีมแพทย์แถลงอาการอาพาธของ "หลวงปู่แสง ญาณวโร"ว่า ทางคณะศิษยานุศิษย์ได้มอบหมายให้คณะแพทย์ผู้ทำการรักษาอาการอาพาธของหลวงปู่แสง มากว่า 20 ปี ให้ข้อมูลและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสุขภาพของหลวงปู่แสง โดยทางคณะแพทย์วินิจฉัยว่า มีภาวะอัลไซเมอร์ ระยะที่ 1 มีโอกาสที่ผู้ป่วยจะมีความจำถดถอยบ้าง ถามซ้ำๆพูดซ้ำๆเรื่องเดิม แต่ยังสื่อสารและใช้ชีวิตได้ตามปกติ ส่วนจะเป็นอัลไซเมอร์ ระยะที่ 2 หรือเปล่าแพทย์เฉพาะทางยังต้องวินิจฉัยเพิ่มเติม ขณะเดียวกันจากการตรวจสอบพบว่า หลวงปู่แสง มีประวัติไข้มาลาเรียขึ้นสมอง ซึ่งในทางการแพทย์ หากการตรวจซิฟิลิส (TPHA) อาจพบเชื้อลวงได้ ควรตรวจซ้ำเพื่อยืนยัน หรืออาจเคยติดเชื้อซิฟิลิซมาก่อนก็เป็นได้ หากสงสัยจริงๆอาจใช้วิธีเจาะน้ำไขสันหลังตรวจสอบเพิ่มเติม
ด้าน นายแพทย์สมฤทธิ์ เวียงสมุทร นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ โรงพยาบาลหัวตะพาน จ.อำนาจเจริญ ซึ่งให้การดูแลรักษาอาการอาพาธหลวงปู่ใกล้ชิด กล่าวว่า ตนเป็นแพทย์ที่เข้ามาดูอาการของหลวงปู่แสงตั้งแต่ปี 2552 ซึ่งการดูแลอาการอาพาธของหลวงปู่แสง ซึ่งเป็นพระชั้นผู้ใหญ่ จะมีความแตกต่างจากประชาชนทั่วไปเยอะ โดยท่านจะไม่ชอบทานยาและไม่ต้องการให้ใครเข้าไปยุ่งกับร่างกายของท่าน และในช่วงแรกของการรักษานั้น การตรวจร่างกายหลวงปู่แสง ต้องเท่าที่ท่านยอมเท่านั้น และกฎเหล็กห้ามผู้หญิงเข้าใกล้และไปยุ่งกับร่างกายของท่านหรือแค่การวัดไข้ก็ตาม
การเจ็บป่วยแบ่งเป็น 3 ช่วง ระหว่าง คือช่วงแรก ปี 2552 -2560 ช่วงที่สอง ปี 2560-2562 เป็นช่วงระยะเวลาที่หลวงปู่ย้ายไปอยู่จังหวัดเชียงใหม่ จะติดตามอาการโดยโทรศัพท์ไปเช็ค และช่วงที่ 3 ก็คือกลับมาอยู่อีสาน
ในช่วงแรกท่านเจ็บป่วยด้วยกลุ่มโรคที่ 1 โรคสูงอายุทั่วไป ความดันโลหิตสูง ชาร้าวลงขาเนื่องจากภาวะกระดูกเสื่อม ทับเส้นประสาทปวดข้อเนื่องจากโรคเก๊าท์หรือกระดูก เสื่อมตามวัย ส่วนกลุ่มโรคที่ 2 เป็นกลุ่มโรคเรื้อรัง โรคความดันโลหิตสูง ต่อมลูกหมากโต ทั้งนี้ในช่วงแรกของการรักษาต้องใช้ระยะเวลาอยู่นานจึงจะยอมรับยา กลุ่มโรคที่ 3 กลุ่มโรคติดเชื้อมีปัญหาปอดอักเสบหรือเรียกว่าปอดบวม โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะเนื่องมาจากอาการต่อมลูกหมากโตและบางครั้งมีอาการหนักถึงขั้นติดเชื้อในกระแสเลือด และหลวงปู่แสงก็จะไม่ยอมมารักษาที่โรงพยาบาล ทำให้ทีมแพทย์ต้องไปให้การรักษาที่วัด ทั้งนี้ สิ่งต่างเหล่านี้เป็นปกติการปฏิบัติของพระป่าสายกรรมฐาน
ต่อมาช่วงปี 2558 จะมีภาวะท้องผูกถี่มากขึ้น และเริ่มนอนไม่หลับ จะต้องมีการเพิ่มขนาดของยาแรงขึ้นเรื่อยๆ ปี 2559 -2560 อาการนอนไม่หลับเริ่มรุนแรงมาก 4-5 วัน แม้จะกินยานอนหลับแล้วก็ตาม ซึ่งในปี 2560จะมีอาการภาวะหัวใจล้มเหลวซึ่งมีการดูแลร่วมกันของโรงพยาบาลอำนาจเจริญ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ขอนแก่น เราต้องยกเครื่องมือแพทย์ไปที่วัด เพราะท่านไม่ยอมไปรักษาที่โรงพยาบาล หลังจากนั้นก็มีภาวะอาการลำไส้อุดตันบางส่วนจนต้องไปนอนโรงพยาบาล ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ท่านเคยผ่าตัดไส้ติ่ง
จากนั้นปลาย 2560 หลวงปู่ได้ย้ายไปอยู่ที่เชียงใหม่ ปรากฏว่ากลางปี 2561 พระที่ดูแลใกล้ชิดหลวงปู่แสง ได้โทรมารายงานตนให้ทราบว่าหลวงปู่แสงท่านมีอาการแปลกๆ คือมีการถูกเนื้อต้องตัวลูกศิษย์ที่เข้าไปกราบ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ท่านเคร่งมากในเรื่องดังกล่าว ทำให้ตนตกใจมาก ซึ่งก็ได้ให้คำปรึกษาทางการแพทย์ว่า เนื่องจากอายุมากอาจมีภาวะสมองฝ่อได้ตามวัย ซึ่งหากบริเวณที่ฝ่อเกี่ยวข้องกับส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์และพฤติกรรม อาจส่งผลทำให้การแสดงออกทางพฤติกรรมและอารมณ์มีความผิดปกติได้ โดยที่ความทรงจำยังเป็นปกติอยู่ เพราะสมองส่วนที่ทำงานนั้นคนละส่วนกัน ต่อมาทางคณะศิษย์ได้นิมนต์ไปโรงพยาบาลเพื่อเข้าเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง ที่โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงใหม่ ทำให้ทราบว่ามีภาวะของอัลไซเมอร์ อย่างไรก็ตามตนเข้าใจว่าเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเพราะไม่ได้มีการรับทราบข้อมูลใดๆหลังจากนั้นอีกเลย
ทั้งนี้ ระหว่างนั้นก็ทราบว่าท่านก็ได้มีการย้ายวัดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งล่าสุดอยู่ที่วัดป่าดงสว่างธรรม จึงได้มีโอกาสเข้าไปพบท่าน จะเห็นถึงความแตกต่างของพระอุปัฏฐาก ที่ดูแลหลวงปู่แสง ก่อนหน้านี้จะเป็นพระที่ดูแลประจำ ซึ่งจะทำให้สามารถตรวจสอบเรื่องการให้ยา รวมทั้งอาการของหลวงปู่ได้ วันนี้พระที่ดูแลหลวงปู่ได้มีการเปลี่ยนคนบ่อยมาก และทุกครั้งที่ไปพบ หลวงปู่ก็จะบอกว่าคนที่จ่ายยาก่อนหน้านี้ไม่อยู่ ขณะที่ยาฆ่าเชื้อจะต้องมีการสัญญาอย่างต่อเนื่องจนหมด ประกอบกับช่วง covid ทำให้ตนไม่สามารถที่จะไปดูแล นานและบ่อยได้เพราะเกรงว่าจะ เพราะเกรงมีโอกาสเสี่ยงนำเชื้อไปติดหลวงปู่ จากการสัมผัสกับคนไข้ จำนวนมาก เพิ่งต้องรีบดูอาการและรีบกลับ
จากปัญหาดังกล่าวจึงต้องอาศัยญาติโยมที่เป็นฆราวาส ให้ดูแลเรื่องการให้ท่านฉันยาแทน จากนี้ยังมีปัญหาเรื่องยาที่ได้รับตั้งแต่ครั้งอยู่ภาคเหนือได้รับการบอกว่ามีอยู่ แต่เป็นพระอีกรูปหนึงที่จัดให้ ซึ่งพระที่ตนสอบถามนี้ไม่ทราบว่ายาดังกล่าวเก็บไว้อยู่ที่ไหน จึงไม่สามารถตรวจสอบได้ นอกเหนือจากนี้ ก็เป็นการดูแลเรื่องการผ่าตัดเนื้อก้อนเล็ก ตามร่างกายท่าน 3 ครั้ง ซึ่งก็ยาวมาจนกระทั่งถึงเกิดเหตุการณ์ตามที่เป็นข่าวก็รู้สึกตกใจ
เมื่อเกิดเหตุเกิดเหตุการณ์ขึ้นเราก็มีการประชุม ในส่วนของพระที่ดูแลและลูกศิษย์ลูกหา ซึ่งก็มาไล่ดู ก็ตรงกับที่เคยมีพระโทรมารายงาน ตอนที่ท่านอยู่เชียงใหม่เมื่อกลางปี 2561 จากการที่ไล่ดูว่าได้มีการดำเนินการอะไรหลังจากนั้นหรือไม่ ก็พบว่ามีโยมนำท่านเข้ารับการตรวจ MRI สมองทราบผลและได้รับยาอย่างไรหรือไม่ ซึ่งก็ได้ข้อมูลหลังจากนั้น2วันถัดมา ทราบว่าไป 2 ครั้ง แต่อนุมานว่ายาไม่ได้ทานต่อเนื่อง ซึ่งอาการน่าจะเกิดจากการภาวะขาดยาตัวดังกล่าว อย่างไรก็ตามเมื่อวาน (13 พ.ค.) คณะแพทย์ได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมและตรวจอาการอาพาธเป็นที่เรียบร้อย และจะให้การดูแลรักษาอาการอาพาธของท่านต่อไป
ขณะที่ นพ.พงษ์พัฒน์ พิมพ์สะ นายแพทย์ชำนาญการ กล่าวว่า ได้เข้ามาดูแลอาการ ร่วมกับนายแพทย์สมฤทธิ์ ในช่วงปี 59-61 ช่วงที่ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดนั้น มีปัญหาว่า มีข้อจำกัดว่าหลวงปู่ไม่ สามารถไปโรงพยาบาลได้ ไม่สามารถรับยาทางหลอดเลือดดำ รวมทั้งภาวะหัวใจล้มเหลว
ทั้งนี้ หลวงปู่มีพื้นฐานมีความผิดปกติจากการนอนไม่หลับ หรือนอนหลับไม่สม่ำเสมอ ก็อาจจะทำให้พบความผิดปกติเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ซึ่งจากการหลวงปู่อายุมากเกือบ100 ปี อาจเกิดภาวะสมองเสื่อมขึ้นได้ ส่งผลให้ความจำระยะยาวยังคงอยู่จำได้ก็คือการแจกพระ แต่อัลไซเมอร์จะมีภาวะผลเสียความจำระยะสั้นไปก่อน และหลังจากนั้นถ้ารุนแรงมากขึ้นๆ ความจำก็จะลดลงร่วมกับภาวะการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์และจิตใจของผู้สูงอายุมากขึ้น โดยอาจจะคุมได้หรือไม่ได้เป็นภาวะปกติ
ปัจจุบันเป็นภาวะสังคมผู้สูงอายุ ทั้งนั้น คนรุ่นนี้ควรจะต้องรู้ว่า คุณพ่อ คุณแม่หรือปู่ย่าตายายเริ่มมีภาวะเหล่านี้ต้องรีบพาไปหาแพทย์ ทั้งนี้จากประวัติการรักษาในระยะแรกเป็นภาวะดำเนินโรคอัลไซเมอร์ เป็นโรคแห่งความเสื่อม จะทำได้เพียงประคับประคองแต่ไม่สามารถให้ยาที่จำเพาะกับโรคได้ แต่จะให้ยาเกี่ยวกับการปรับด้านร่างกายและจิตใจ ซึ่งการฉันยาต่อเนื่องมีผลสำคัญมากกับอาการของหลวงปู่ ในขณะที่ขึ้นอยู่กับหลวงปู่ แต่ โรคจะมีภาวะดำเนินอาการโรคไปเรื่อย
ทั้งนี้จากการข่าวที่เกิดขึ้น จึงคิดว่ามีความจำเป็นที่จะต้องดูแลท่านอย่างจริงจัง ซึ่งซิฟิลิสอาจเกิดจากการสัมผัสเชื้อ สัมผัสสารคัดหลั่งบางอย่าง โดยเบื้องต้นจะมี 4 ระยะ ระยะขึ้นสมองหรือเรียกว่านิวโรซิฟิลิส ซึ่งในรายที่เกิดภาวะดังกล่าวแล้วอาจจะเกิดขึ้นได้อีกตลอดชีวิต ทั้งนี้ไม่สามารถทราบได้ว่า พฤติกรรมที่เกิดขึ้นตามปรากฏข่าวมาจากนิวโรซิฟิลิส
(ภาวะซิฟิลิสขึ้นสมอง)หรือไม่เพราะการวินิจฉัยโรคจะต้องเจาะน้ำไขสันหลังไปตรวจ แต่มีข้อจำกัดเรื่องตัวหลวงปู่ ที่ไม่สามารถทำได้ ทางทีมแพทย์จึงให้ยาหลวงปู่โดยไม่ทราบว่าหลวงปู่เป็นอาการมาจากซิฟิลิสหรือไม่
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจ MRIสมองพบเสื่อมจริง โดยสามารถยืนยันว่าเกิดจากการภาวะสมองขาดเลือดหลายจุด ทีมแพทย์ได้ให้ยารักษาแล้ว แต่เนื่องจากปัญหาที่หลวงปู่อาจจะไม่ฉันยาต่อเนื่อง ซึ่งข้อจำกัดที่หลวงปู่มีความแตกต่างจากคนปกติ
นอกจากนี้ นายแพทย์เศวต ศรีศิริ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลพริ้นซ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนผลการตรวจหลวงปู่แสง พบนิวโรซิฟิลิส อาจมีผลจากความผิดพลาด false positive หรือที่เรียกว่าผลตรวจลวงก็ได้ เพราะจากการหลวงปู่เคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อ 6 ปีที่แล้วหลวงปู่เดินทางไปประเทศจีนตอนใต้และพม่าผ่านเมืองลับแล ครั้งนั้นทำให้หลวงปู่เป็นมาลาเรียขึ้นสมองเกือบเสียชีวิต ซึ่งอาจทำให้เกิดผลการตรวจลวงเป็นนิวโรซิฟิลิสได้
สรุปอาการอาพาธของหลวงปู่แสง ญาณวโร จากประวัติการรักษาของทีมแพทย์
1.การทำงานของทางเดินอาหารผิดปกติ (GI vasculopathy)
2.โรคหัวใจที่เกิดจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายผิดปกติ (CHF c Cardiomypathy LVH)
3.โรคความดันโลหิตสูง (HT)
4.โรคต่อมลูกหมากโต (BPH)
5. ปวดหลังเนื่องจากกระดูกสันหลังคด (Low back pain c Scoliosis)
6. ข้อเข่าเสื่อมทั้ง 2 ข้าง (OA both khee)
7. โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)
8. โรคนอนหลับยาก (Elderly c Insomnia)
9. สมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ระยะที่ 1 (dementia c Alzheimer’s)
10. ภาวะพฤติกรรมอารมณ์ที่ผิดปกติที่เกี่ยวกับสมองเสื่อม (BPSD = behavioral and psychological symtoms of dementia)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี