วช. หนุนทีมวิจัยจาก ม.อ. ต่อยอดพัฒนา “เครื่องผลิตกรดไฮโปคลอรัสสำหรับฆ่าเชื้อโรคแบบใช้ในบ้าน” สามารถผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้ได้ทุกสภาพพื้นผิว ปลอดภัย ประหยัดงบประมาณ เพราะต้นทุนผลิตถูกกว่าใช้แอลกอฮอล์ 70% ถึง 140 เท่า
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยและทั่วโลกยังคงเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ทำให้วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นในการป้องกัน เช่น น้ำยาฆ่าเชื้อโรคโควิด-19 มีความต้องการใช้งานที่เพิ่มสูงขึ้น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จึงสนับสนุนทุนภายใต้โครงการการจัดการความรู้การวิจัยเพื่อการใช้ประโยชน์ ประจำปี 2565 ให้แก่โครงการ “เครื่องผลิตกรดไฮโปคลอรัส สำหรับฆ่าเชื้อโรคแบบใช้ในบ้าน” โดยมี รศ.ดร.วรากร ลิ่มบุตร จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) เป็นหัวหน้าโครงการ เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้และนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์เพื่อชุมชนและสังคม
รศ.ดร.วรากร ลิ่มบุตร จากคณะวิทยาศาสตร์ ม.อ. วิทยาเขตหาดใหญ่ เปิดเผยว่า ได้วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน โดยเป็นความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชน ภายใต้ความร่วมมือระหว่างทีมนักวิจัยจากคณะวิทยาศาสตร์ และคณะเภสัชศาสตร์ ม.อ. ทีมนักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ทีมผู้ประกอบการจากบริษัท ดรีมแฟคทอรี่ จำกัด บริษัท พี แอนด์ พี อิเลคทรอนิกส์ เทคโนโลยี และบริษัท มาสเตอร์ แล็บส์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด ทำให้เกิดเทคโนโลยีอิเล็กโทรลิซิสของน้ำเกลือรูปแบบใหม่ที่สามารถผลิตกรดไฮโปคลอรัส หรือโซเดียมไฮดรอกไซด์ หรือไฮโปคลอไรต์ ซึ่งเป็นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่มีประสิทธิภาพ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
ทั้งนี้ พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อได้ 99.99% นอกจากนี้ยังได้พัฒนา Polymer electrolyte membrane (PEM) ที่มีความสามารถในการแลกเปลี่ยนประจุ รวมถึงออกแบบ Electrolysis Cell ซึ่งเป็นเซลล์ไฟฟ้าเคมีชนิดหนึ่งทั้งในระบบจุ่ม และระบบไหลผ่านทำให้สามารถผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อโรคจำนวนมากได้ในระยะเวลาอันสั้น
นักวิจัยกล่าวว่า นวัตกรรมนี้สามารถผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อที่นำไปใช้ทำความสะอาดได้ทุกสภาพพื้นผิววัสดุ เช่น ห้องครัว ห้องน้ำ เสื้อผ้า สิ่งของเครื่องใช้ในบ้าน รวมถึงทำความสะอาดบาดแผลเพื่อฆ่าเชื้อโรค อีกทั้งฆ่าเชื้อราในห้อง และฆ่าไรบนผิวหนังได้โดยไม่ระคายเคืองกับผิวหนัง ถือว่ามีความปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากขั้นตอนการผลิตไม่มีการเติมกรดหรือสารเคมีใดๆ ส่วนตัวเครื่องผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐาน ISO 9001 ควบคุมด้วยเทคโนโลยี IoT หากน้ำยาฆ่าเชื้อที่ผลิตได้มีคุณสมบัติต่ำกว่าสเปกของค่าโออาร์พี ค่าพีเอช และค่าคลอรีนอิสระที่กำหนด ระบบจะหยุดทำงานและแจ้งเตือนทันที ปัจจุบัน ทีมวิจัยได้พัฒนาต้นแบบเครื่องผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อโรคทั้งระบบจุ่มและระบบไหลผ่าน มีการจดทรัพย์สิทธิทางปัญญาแล้วจำนวน 7 ฉบับ และนำเทคโนโลยีไปผลิตเป็นเครื่องเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์แล้ว โดยขออนุญาตใช้สิทธิทางทรัพย์สินทางปัญญา 2 บริษัท คือ บริษัท มาสเตอร์ แล็บส์ อินคอร์ปอเรชั่นจำกัด และบริษัท ดรีมแฟคทอรี่ จำกัด
ทีมวิจัยได้มอบเครื่องผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อให้แก่ชุมชนและหน่วยงานต่างๆ เช่น โรงเรียนมัสยิด ตลาด ชุมชน ร้านอาหาร และประชาชนทั่วไป รวมแล้วกว่า 60,000 ลิตร เพื่อช่วยลดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้แอลกอฮอล์ 70% สามารถลดงบประมาณได้ถึง 4.17 ล้านบาท เนื่องจากต้นทุนในการผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อโรคอยู่ที่ 50 สตางค์ต่อลิตร ถูกกว่าแอลกอฮอล์ 70% ถึง 140 เท่า ช่วยลดการนำเข้าทั้งด้านเทคโนโลยีและน้ำยาฆ่าเชื้อจากต่างประเทศ และได้รับรางวัลจากหน่วยงานต่างๆ เช่น รางวัลชนะเลิศ รางวัลนวัตกรรมสงขลานครินทร์ประจำปี 2563 จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์รางวัล STSP Innovation Awards 2021 จากอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ รางวัลการวิจัยแห่งชาติ : รางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น ระดับดี ประจำปี 2565 จากวช. และรางวัล 7 Innovation Awards 2022 ซึ่งจะมีการรับรางวัลในเดือนสิงหาคม 2565 นี้