‘โอมิครอนBA.4-BA.5’เขย่าโลก
ติดง่าย-หนักกว่าเดิม
งานวิจัยแพทย์ชี้‘ปอด-ไต’พังเร็ว
นายกฯปลื้มใจคนไทยยังสวมแมสก์
สธ.เตือนฉีดเข็มกระตุ้นเพิ่มภูมิคุ้มกัน
ป่วยโควิดเพิ่มอีก2,236รายตาย16ศพ
รายงานในต่างประเทศวิเคราะห์ว่า มีความเป็นไปได้ที่ ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน BA.4 และ BA.5 อาจจะส่งผลกระทบที่เลวร้ายรุนแรงขึ้น แต่ทางกระทรวงสาธารณสุขของไทย แจงยังไม่มีข้อมูลรุนแรงขึ้นขอประชาชนอย่าเพิ่งวิตกกังวล ประเทศไทยมีระบบเฝ้าระวังผู้ป่วยหนักและสายพันธุ์ย่อยต่อเนื่องย้ำฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันสู้เชื้อได้ และยังต้องป้องกันตนเองอย่างเหมาะสม “นายกฯ” ชมคนไทยส่วนใหญ่ยังสมัครใจสวมหน้ากากอนามัย แม้ผ่อนคลายข้อกำหนดฯ แล้ว ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,236 เสียชีวิต 16 ราย
เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้สืบค้นรายงานในต่างประเทศมานำเสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเทศที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน BA.4 และ BA.5 จนพบว่าในต่างประเทศได้มีการวิเคราะห์ว่ามีความเป็นไปได้ไวรัสโควิดหลังจากนี้ โดยเฉพาะที่มาจากการติดเชื้อซ้ำนั้นอาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าครั้งแรกก็เป็นได้ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ มีผลงานวิจัยในขั้นต้นบ่งชี้ว่าถ้าคุณติดเชื้อโควิด-19 มากกว่าหนึ่งครั้ง มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่คุณจะเจอกับปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง ที่ประเทศออสเตรเลียนั้นกำลังพบเห็นการติดเชื้อไวรัสโควิดซ้ำได้มากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากการเติบโตของโควิดโอไมครอน 2 สายพันธุ์ย่อยที่สำคัญก็คือ BA.4 และ BA.5 ซึ่งทั้งสองสายพันธุ์ดังกล่าวนั้นคาดว่าจะเป็นสายพันธุ์ที่ครองส่วนแบ่งในประเทศออสเตรเลียสูงสุดในเวลาไม่ช้านี้
โดยที่ผ่านมานั้นมีการคาดหวังกันว่าการติดเชื้อซ้ำจะไม่ทำให้เกิดอาการทางสุขภาพที่รุนแรงเมื่อเทียบกับการติดเชื้อครั้งแรก
อย่างไรก็ตาม พ,ญ.แนนซี่ แบกซ์เตอร์ จากวิทยาลัยประชากรและสุขอนามัยโลกที่มหาวิทยาลัยเมลเบิร์นได้กล่าวว่าหากดูจากข้อมูลในฐานข้อมูลของกรมกิจการทหารผ่านศึกแห่งสหรัฐอเมริกาพบนี่มันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ อนึ่ง การศึกษาที่ยังไม่มีการทบทวนนั้นแสดงให้เห็นว่าแม้ว่าจะมีผลประโยชน์บางประการต่อภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อไวรัส แต่ก็มีโอกาสที่จะมีผลกระทบในทางลบที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากการติดเชื้อในแต่ละครั้งอย่างต่อเนื่อง
คนเคยติดเชื้อแล้วมีโอกาสติดเชื้อซ้ำ
มีรายงานว่าการติดโควิดนั้นอยู่ในเทรนด์พุ่งขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ก็เพราะมาจากโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยดังกล่าว และผู้ที่คิดว่าเคยติดโควิดไปแล้วแล้วจะไม่เป็นอีกครั้งอาจต้องคิดใหม่
“คุณยังคงมีความเสี่ยงต่ออาการต่างๆ เช่นปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ ภาวะการหายใจไม่ออก ควบคู่กับปัญหาหัวใจ อาการโควิดระยะยาวหรือว่าลองโควิด และที่สำคัญมีความเสี่ยงว่าจะมีอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้มากกว่าที่คุณคิดเอาไว้” พ.ญ.แบกซ์เตอร์กล่าวและกล่าวต่อไปว่าหรือก็คือถ้าได้รับโควิดมากเท่าไร โอกาสที่จะมีผลกระทบในทางลบที่เลวร้ายจริงๆ ก็มีมากขึ้นเท่านั้น
ประเด็นถัดมาก็คือว่าผลประโยชน์ที่ได้มาจากการมีภูมิคุ้มกันผ่านการติดเชื้อนั้นก็จะลดลงไปเรื่อยๆตามเวลาที่ผ่านไป ทำให้โอกาสติดเชื้อซ้ำมากขึ้นตามไปด้วย
“ในช่วงเดือนแรก หรือประมาณสองเดือนอย่างมาก หลังจากคุณเคยติดเชื้อโอมิครอน คุณจะมีภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอน แต่ว่าหลังจากนั้นภูมิจะลดลงอย่างรวดเร็ว” พ.ญ.แบ็กซ์เตอร์กล่าว
การหลีกเลี่ยงติดเชื้อซ้ำเป็นเรื่องสำคัญ
ส่วน พ.ญ.ดีปติ กูร์ดาราซานี จากมหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยควีนแมรีออฟลอนดอน ได้ให้ความเห็นผ่านทวิตเตอร์ไปในทางทิศทางเดียวกันก็คือว่าข้อมูลดังกล่าวนั้นอาจมีนัยยะสำคัญในเรื่องการเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับการติดเชื้อโควิดซ้ำไปเลยก็เป็นได้
“มันเริ่มเป็นที่ชัดเจนว่าความคิดที่ว่าการติดเชื้อซ้ำแล้วจะมีอาการไม่รุนแรง หรือว่าอาการอ่อนนั้นอาจจะไม่จริงเสมอไปก็เป็นได้” พ.ญ.กูร์ดาราซานีทวีต และทวีตต่อว่า “เห็นได้ชัดเจนว่าการติดเชื้อซ้ำนั้นสามารถทำให้เกิดการเจ็บป่วยและเสียชีวิตอย่างมีนัยยะสำคัญ ดังนั้นการหลีกเลี่ยงการติดเชื้อซ้ำจึงเป็นเรื่องสำคัญ”
ฐานข้อมูลในออสเตรเลียมีช่องว่าง
ในรัฐวิกตอเรียมีรายงานว่าพบการติดเชื้อซ้ำกว่า 20,000 ราย ส่วนที่รัฐนิวเซาท์เวลส์ก็พบว่ามีการติดเชื้อซ้ำอีกกว่า 11,300 ราย ซึ่งกว่าครึ่งของจำนวนนี้เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ที่พบการระบาดของโควิดสายพันธ์โอมิครอน แต่ พ.ญ.แบ็กซ์เตอร์เชื่อว่าตัวเลขนี้น้อยกว่าที่ควรจะเป็นอย่างมีนัยยะสำคัญ
“ตัวเลขที่เรามีไม่ดีนัก เพราะว่าการติดเชื้อซ้ำไม่ได้มีการบันทึกอย่างเป็นกิจลักษณะ เนื่องจากว่าทางการไม่ได้ให้มีการบันทึกว่าเป็นการติดเชื้อซ้ำ ถ้าหากคุณติดเชื้ออีกครั้งภายในระยะเวลา 4 เดือน” พ.ญ.แบ็กซ์เตอร์กล่าว
อินเดียพบป่วยรุนแรงกว่าติดครั้งแรก
ส่วนที่ประเทศอินเดียเองก็พบว่ามีการสำรวจประชากรก็พบว่ามีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการติดเชื้อซ้ำเช่นกัน อาทิ 46 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่พบว่าติดเชื้อซ้ำจากโควิดสายพันธุ์โอมิครอนภายในระยะเวลา 6 เดือน พบว่ามีอาการป่วยรุนแรงกว่าการติดเชื้อครั้งแรก และที่สำคัญก็คือผู้ที่ติดเชื้อซ้ำภายในระยะเวลา 6 เดือน พบว่า 45 เปอร์เซ็นต์ของประชากรกลุ่มดังกล่าวนั้นติดเชื้อซ้ำจากการติดเชื้อในช่วงไม่กี่สัปดาห์หลังการติดเชื้อครั้งแรก ส่วนอีก 27 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือนั้นเป็นการติดเชื้อหลังจากผ่านการติดเชื้อไปแล้ว 6 เดือน
ทั้งนี้ จากข้อมูลการจัดลำดับพันธุกรรมในประเทศอินเดียยังแสดงให้เห็นว่าการระบาดส่วนมากในประเทศนั้นยังคงเป็นโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ BA.2 คิดเป็นสัดส่วน 70 เปอร์เซ็นต์ แต่ว่าโอไมครอนสายพันธุ์ BA.5 นั้นพุ่งมาอยู่ที่ 6 เปอร์เซ็นต์ และตามมาด้วยโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ BA.2.12.1
โดยในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมานั้นเป็นช่วงเวลาที่ประเทศอินเดียไม่ได้มีการใช้มาตรการควบคุมโรคและประชาชนก็หลั่งไหลกันกลับภูมิลำเนา ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวนั้นพบว่ามีผู้ติดโควิดรายใหม่พุ่งสูงขึ้นกว่า 12,000 รายต่อวัน
ม.วอชิงตันวิจัยพบป่วยซ้ำอาการรุนแรง
และย้อนไปเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีผลวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยวอชิงตัน รายงานว่าพบว่ากลุ่มผู้ที่ติดโควิดเป็นครั้งที่สองซึ่งเป็นคนหนุ่มสาวนั้นมีอาการป่วยที่รุนแรงมากขึ้นด้วยเช่นกัน และยังพบว่าผู้ที่ติดเชื้อซ้ำในระยะเวลา 8 วัน พบว่ามีโอกาสจะต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้นถึง 12 เท่า และมีโอกาสต้องเข้ารับการรักษาในห้องดูแลพิเศษหรือว่าไอซียูเพิ่มขึ้น 2 เท่า
ในรายงานยังได้ระบุอีกว่าในกรณีของการติดเชื้อซ้ำนั้นจะทำให้เกิดอาการผิดปกติของอวัยวะดังต่อไปนี้
ผู้เชี่ยวชาญได้ออกมาเตือนถึงการระบาดของโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 (อ้างอิงวิดีโอจาก WION)
โอกาสที่จะเกิดความผิดปกติต่อปอดนั้นอยู่ที่ 5 เปอร์เซ็นต์,ความผิดปกติของเลือดโดยอยู่ที่ 2.6 เปอร์เซ็นต์, ความเมื่อยล้าอยู่ที่3.3 เปอร์เซ็นต์, อาการผิดปกติที่ไตอยู่ที่ 1.4 เปอร์เซ็นต์, ปัญหาสุขภาพจิตอยู่ที่ 12.1 เปอร์เซ็นต์, ปัญหาโรคเบาหวานโดยอยู่ที่ 2.2 เปอร์เซ็นต์ และความผิดปกติทางระบบประสาทอยู่ที่ 3.6 เปอร์เซ็นต์
อนึ่งการสำรวจดังกล่าวนั้นเป็นการเก็บข้อมูลจากประชากร 35,000 ราย ใน 301 แคว้นทั่วอินเดีย โดยผู้ที่ตอบคำถามนั้นประกอบไปด้วย 67 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นผู้ชาย อีก 33 เปอร์เซ็นต์เป็นผู้หญิง
ยอดผู้ติดเชื้ออาจน้อยกว่าความจริง
กลับมาที่ออสเตรเลีย ณ เวลานี้นั้นมีรายงานว่ามีการรายงานผู้ติดเชื้อรายวันอยู่ที่ 30,000 รายต่อวัน ซึ่งตัวเลขนี้นั้นถือว่าต่ำกว่าช่วงสูงสุดของการระบาดในต้นปี 25565 ที่มีผู้ติดเชื้อรายวันมากกว่า 100,000 ราย
แต่ พ.ญ.แบ็กซ์เตอร์กล่าวเตือนว่าตัวเลขที่ว่านี้อาจจะน้อยกว่าความจริงมากเนื่องจากว่าออสเตรเลียที่เริ่มจะมีการผ่อนคลายมาตรการบางอย่างไปแล้วนั้นอาจจะไม่ได้มีการบันทึกและเก็บข้อมูลในรูปแบบเดียวกับในอดีต
“เรารู้ว่าการตรวจพีซีอาร์นั้นเป็นเรื่องที่เริ่มจะยากขึ้นแล้ว ไม่ใช่ว่าจะมีการบันทึกผลการตรวจแบบ ATK กันได้ทุกคน และที่สำคัญก็คือไม่ใช่ว่าทุกคนนั้นจะได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19” พ.ญ.แบ็กซ์เตอร์กล่าว
พ.ญ.แบ็กซ์เตอร์กล่าวต่อไปว่าคาดว่าหลังจากที่มีการลดการสวมใส่หน้ากากไปแล้ว ประกอบกับการที่ภูมิคุ้มกันที่มาจากการติดเชื้อในช่วงเดือน ม.ค.เริ่มจะเสื่อมถอยลงนั้น ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมีตัวเลขการติดเชื้อและเสียชีวิตพุ่งขึ้นมาอีก
“เรามีช่วงเวลา 6 สัปดาห์ที่ตัวเลขนั้นจะลดลง แต่ว่าตอนนี้เราเห็นตัวเลขไปในอีกทิศทางหนึ่ง ก็คือว่ามันพุ่งขึ้นและพุ่งขึ้นอีก” พ.ญ.แบ็กซ์เตอร์กล่าว และกล่าวไปยังนักระบาดวิทยาคนอื่นๆเพื่อให้ช่วยกันเรียกร้องให้มีการรณรงค์เรื่องการสวมใส่หน้ากากให้มากขึ้น และให้มีการปรับปรุงระบบถ่ายเทอากาศให้ดีขึ้นเพื่อจะลดโอกาสของการแพร่กระจายเชื้อ
รณรงค์ให้ประชาชนไปฉีดวัคซีนเข็มสาม
อนึ่ง เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา รัฐบาลออสเตรเลียได้มีการลงทุนโฆษณาประชาสัมพันธ์คิดเป็นมูลค่า 11 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (269,817,927 บาท) เพื่อจะรณรงค์ให้ประชาชนไปฉีดวัคซีนในโดสสามกัน ซึ่งตรงนี้ พ.ญ.แบ็กซ์เตอร์กล่าวว่าน่าจะเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการป้องกันไม่ให้มีการแพร่เชื้อหรือว่าการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก
“ผู้คนต้องตระหนักว่าการฉีดบูสเตอร์นั้นมีความสำคัญมาก และเราต้องสนับสนุนให้ทุกคนได้ฉีดบูสเตอร์กันให้ได้มากที่สุด” พ.ญ.แบ็กซ์เตอร์กล่าว
สธ.แจงBA.4/BA.5ยังไม่มีข้อมูลรุนแรงขึ้น
วันเดียวกันนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีมีการเผยแพร่ข้อความทางสื่อโซเชียลว่าเชื้อโควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอน BA.4 และ BA.5 มีความรุนแรงกว่าสายพันธุ์เดลตา 5 เท่า และมีอัตราเสียชีวิตสูง ว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่มีหลักฐานและแหล่งที่มาของข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ขอให้ประชาชนอย่าวิตกกังวลต่อข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ เชื้อโควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอน BA.4 และ BA.5 แม้องค์การอนามัยโลกจะจัดให้เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวลและต้องเฝ้าระวัง (VOC lineages under monitoring :VOC-LUM) เนื่องจากความสามารถในการแพร่เชื้อเพิ่มขึ้น หลบภูมิคุ้มกันได้มากขึ้น แต่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอว่ามีความรุนแรงมากขึ้น
สำหรับสถานการณ์ของทั้ง 2 สายพันธุ์นี้ องค์การอนามัยโลกให้ความเห็นว่าต้องเฝ้าระวัง BA.5 อย่างใกล้ชิด เนื่องจากแอนติบอดีที่จะทำลายฤทธิ์ของเชื้อใช้ได้น้อย ยารักษาตอบสนองน้อยลง แต่ยังสรุปไม่ได้ว่ามีความรุนแรงเพิ่มขึ้นหรือไม่ ต้องรอข้อมูลเพิ่มเติม ขณะที่ฐานข้อมูลโลก GISAID พบ BA.5 สะสม 31,577 ตัวอย่าง ใน 62 ประเทศ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 16% เป็น 25% ส่วน BA.4 พบสะสม 14,655 ตัวอย่าง แนวโน้มลดลงจาก 16% เหลือ 9%
ยันไทยมีระบบเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง
สำหรับประเทศไทยมีระบบเฝ้าระวังสายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ยังพบ BA.4 และ BA.5 ในกลุ่มผู้เดินทางจากต่างประเทศในสัดส่วนสูงกว่าผู้ติดเชื้อในประเทศ และจะมีการศึกษาในผู้ป่วยอาการหนักว่ามีความสัมพันธ์กับ 2 สายพันธุ์นี้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม แม้ช่วงนี้จะมีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถดำเนินชีวิตได้ใกล้เคียงปกติและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ขอให้ยังคงมาตรการป้องกันตนเองที่เหมาะสม เพื่อช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อทุกสายพันธุ์ นอกจากนี้ การที่ประชาชนเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อให้มีภูมิคุ้มกันสูงมากพอยังเป็นเรื่องที่สำคัญและมีความจำเป็น เพราะจะทำให้ช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อและป้องกันอาการรุนแรงได้
นายกฯชมคนไทยส่วนใหญ่ยังสวมแมสก์
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมที่คนไทยส่วนใหญ่ ยังให้ความสำคัญและเห็นประโยชน์การสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย ด้วยความสมัครใจ เพื่อประโยชน์ด้านสุขอนามัยของตนเองและผู้อื่น แม้จะมีการผ่อนคลายข้อกำหนด ตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฉบับที่ 46 แล้ว ซึ่งหลักปฏิบัติตนแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention) ยังสามารถใช้ได้ทุกสถานที่ ทุกวัน เพื่อความปลอดภัยต่อตนเองและผู้อี่น
ทั้งนี้ รัฐบาลและศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ได้ดำเนินการมาตรการต่าง ๆ ด้วยความรอบคอบ รัดกุม เพื่อแก้ปัญหาโควิด-19 ไปพร้อมๆกับให้ประชาชนสามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน เพจกรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข ได้ระบุข้อความ ข่าวปลอม อย่าแชร์
ลือพบโอมิครอน สายพันธ์ BA4.5ในไทยจากการตรวจสอบพบว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นเท็จ
ป่วยเพิ่มอีก2,236ราย ตาย16ศพ
สำหรับสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประเทศไทย ประจำวันที่ 25 มิ.ย.2565 มีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ 2,236 ราย เป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ 2,235 ราย มาจากต่างประเทศ 1 ราย ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 2,288,342 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ส่วนการรักษา มีผู้รักษาตัวหายป่วยกลับบ้านเพิ่ม 1,892 ราย ยอดหายป่วยสะสม (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) 2,289,922 ราย กำลังรักษาตัว 22,786 ราย
มีผู้เสียชีวิตใหม่อีก 16 ราย ยอดรวมเสียชีวิตสะสม (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) 8,877 ราย
จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 602 ราย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี