คุมตัว3วัยรุ่นส่งศาล
คดีชิงเข็มพระเกี้ยว
พ่อไม่ยื่นประกันตัว
ตร.ชี้ก่อเหตุโทษหนัก
ตำรวจ สน.วังทองหลาง คุม 3 โจ๋ชิงเข็มกลัดตราพระเกี้ยว นร.โรงเรียนดัง ส่งศาลเยาวชนฯ พ่อหนึ่งในผู้ต้องหา ไม่ยื่นประกัน อยากดัดนิสัยลูก ด้าน รองโฆษก ตร.เตือนวัยคะนอง ก่อเหตุแบบนี้มีโทษหนัก
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าพนักงานสอบสวน สน.วังทองหลาง ได้คุมตัว นายวายุภัค นายวิชัย และนายธนพล (ทั้งหมดสงวนนามสกุล)ซึ่งเป็นเยาวชน ภายหลังทั้ง 3 ถูกจับกุมตัวในคดีร่วมกันจี้ชิงทรัพย์เข็มกลัดตราพระเกี้ยวจากนักเรียนโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) และยังทำร้ายร่างกายก่อนจะหลบหนี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา แต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมตัวไว้ได้ ไปขออำนาจศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมจับกุมก่อนจะส่งตัวไปยังสถานพินิจฯ ตามขั้นตอน
ด้านนายสมศักดิ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 41 ปี บิดาของนายวายุภัค หนึ่งในผู้ต้องหา กล่าวยอมรับว่าลูกมีพฤติกรรมก้าวร้าว ชอบใช้ความรุนแรง มักมีเรื่องชกต่อยตามประสาวัยรุ่นอยู่เสมอ และไม่รับฟังเวลาถูกเตือนหรือถูกว่ากล่าวเมื่อกระทำผิดจึงตัดสินใจที่จะไม่ยื่นเรื่องขอประกันตัว เนื่องจากต้องการให้ลูกถูกขัดเกลานิสัยจากเจ้าหน้าที่สถานพินิจฯ รวมถึงเกรงว่าหากยื่นประกันตัวจะไม่เข็ดหลาบ กลับไปก่อเหตุซ้ำอีก พร้อมทั้งฝากขอโทษคู่กรณีถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
ขณะที่นางโมจิ ป้าของนายวิชัย อีกหนึ่งผู้ต้องหาที่ร่วมก่อเหตุ เปิดเผยว่าปกตินายวิชัยเป็นเด็กที่เงียบๆ พูดน้อยและไม่เคยมีพฤติกรรมรุนแรงแบบนี้ตนพร้อมจะให้อภัยกับหลาน เพราะเห็นว่ายังเด็ก ส่วนเหตุที่เกิดนี้น่าจะเป็นการตามกันไปกับเพื่อน ทั้งนี้ ต้องฝากขอโทษคู่กรณีและผู้ปกครอง โดยเหตุที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นการกระทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
วันเดียวกัน พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กล่าวถึงเหตุกลุ่มวัยรุ่น 3 คน ใช้มีดข่มขู่ และชกต่อยทำร้ายร่างกายนักเรียนโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เพื่อแย่งเอาเข็มกลัดตราพระเกี้ยว ว่าขอเตือนไปยังกลุ่มนักเรียนนักศึกษาที่มีความคิดว่าการแย่งชิงตราสัญลักษณ์ของสถาบันการศึกษาอื่นเป็นเรื่องสนุกของวัยรุ่น ทำให้ได้รับการยอมรับจากเพื่อนเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ซึ่งไม่เป็นความจริงหากแต่เป็นการกระทำที่ขาดการยั้งคิด และเป็นความผิดร้ายแรงตามกฎหมายที่ได้บัญญัติไว้
ทั้งนี้ การที่บุคคลใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้ได้ซึ่งทรัพย์นั้น หรือเพื่อเอาทรัพย์นั้นเป็นของตน เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 และหากร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป จะเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ซึ่งอัตราโทษขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของการกระทำ สรุปได้ดังนี้ความผิดฐานชิงทรัพย์ (ผู้กระทำผิด 1 ถึง 2 คน)ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-10 ปี ปรับตั้งแต่ 100,000-200,000 บาท . เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 10-20 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000-400,000 บาท, เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 15-20 ปี และปรับตั้งแต่ 300,000-400,000 บาทและถ้าเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิตความผิดฐานปล้นทรัพย์ (ผู้กระทำผิด 3 คน ขึ้นไป)
ส่วนไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 10-15 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000-300,000 บาท
, ผู้กระทำความผิดคนใดคนหนึ่งพกอาวุธติดตัวไปด้วย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 12-20 ปี และปรับตั้งแต่ 240,000-400,000 บาท, เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15-20 ปี, กระทำโดนแสดงความทารุณ เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ใช้ปืนยิง วัตถุระเบิด หรือกระทำทรมาน ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15-20 ปีและเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษประหารชีวิต
ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอแจ้งเตือนไปยังผู้ปกครองและน้องๆเด็กและเยาวชน ที่อยากได้รับการยอมรับจากกลุ่มเพื่อน โดยไม่ได้คำนึงว่าการกระทำของตนเป็นความผิดตามกฎหมายขอให้คิดถึงอนาคตและผลที่ตามมาจากการกระทำผิดลักษณะดังกล่าว และขอให้ผู้ปกครองให้คำแนะนำและตักเตือนบุตรหลานเกี่ยวกับข้อกฎหมายที่จำเป็นต้องรู้ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนกระทำความผิด หากมีพี่น้องประชาชนตกเป็นเหยื่อ หรือพบเห็นเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อขอความช่วยเหลือได้ที่ สายด่วน 191 ตลอด 24 ชั่วโมง