เปิดทางให้บริษัทเอกชนนำเข้า
หมอชนบทจี้รบ.
ยกเลิกผูกขาดยารักษาโรคโควิด
‘ฟาวิพิราเวียร์-โมลนูพิราเวียร์’
เชื่อแก้ยาขาดแคลน/ราคาลดลง
ปอดอักเสบรายวันขยับ803ราย
ครองเตียงพุ่ง14.4%-ตาย18ศพ
ยอดติดโควิดไทยรายวันทรงตัวที่ 2,125 ราย ตาย 18 ศพ ปอดอักเสบเพิ่ม 803 ราย ครองเตียงโคม่าขยับ 14.4% ขณะที่บ.แอสตร้าฯเผยผลวิจัยประสิทธิภาพฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 4 สกัดโอมิครอนได้ถึง 73% ใกล้เคียง mRNA ลดอาการรุนแรง-ลดเสียชีวิตชัดเจน กรมการแพทย์เพิ่มแนวทางเข้าถึงการรักษาของผู้ติดเชื้อจาก “เจอ-แจก-จบ”เป็น“สแกน/โทร-แจก – จบ” ส่วนชมรมแพทย์ชนบทเคลื่อนไหวต่อเนื่อง จี้รัฐเลิกผูกขาดยาฟาวิพิราเวียร์-โมลนูพิราเวียร์ ให้เอกชนนำเข้า แก้ปัญหายาขาดแคลนได้ทันที และราคาถูกลง
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ศูนย์ข้อมูล Covid-19 รายงานสถานการณ์ระบาดของเชื้อโควิด-19 ประจำวันในประเทศไทย ทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิต และความคืบหน้าการฉีดวัคซีน โดยภาพรวมสถานการณ์ทั่วโลกพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 637,263 ราย สะสมแล้ว 568,579,814 ราย ผู้ป่วยอาการรุนแรง 39,129 ราย ผู้เสียชีวิตรายใหม่ 1,128 ราย สะสม 6,389,451 ราย โดยประเทศที่มีการติดเชื้อใหม่สูงสุด คือ สหรัฐอเมริกา 58,177ราย สะสม 91,429,409ราย เสียชีวิตรายใหม่ 149 ราย สะสม 1,049,274 ราย
ป่วย2,125-ตาย18-ครองเตียง14.4%
สำหรับ ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 27 ของโลก มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,125 ราย สะสม 4,562,968 ราย เสียชีวิตรายใหม่ 18 ราย สะสม 31,031 ราย อัตราเสียชีวิตเฉลี่ยย้อนหลัง 7 วัน อยู่ที่ 2 รายต่อล้านประชากร ขณะที่ผู้ป่วยที่อยู่ในระบบการรักษา 22,341 ราย อาการรุนแรง 803 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 378 ราย อัตราครองเตียงระดับ 2-3 ร้อยละ 14.40 อัตราเฉลี่ย 14 วันย้อนหลัง ในผู้ป่วยรายใหม่ 2,046 ราย ผู้ป่วยปอดอักเสบ 803 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 378 ราย และ เสียชีวิต 21ราย
ฉีดวัคซีนสะสม140.7ล้านโดส
ข้อมูลการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทยประจำวันที่ 18 กรกฎาคม เวลา 18.00 น. เพิ่มขึ้นรวม 22,381 โดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 ฉีด 1,186 โดส สะสม 57,062,295 โดส เป็นร้อยละ 82 ของประชากร เข็มที่ 2 ฉีด 1,935 โดส สะสม 53,337,656 โดส คิดเป็น ร้อยละ76.7ของประชากร และ เข็มที่ 3 ฉีด 19,260 โดส สะสม 30,365,745 โดส คิดเป็น ร้อยละ43.7 ของประชากร ผู้ฉีดวัคซีนสะสมรวม 140,765,696 โดส
ขณะที่การฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปในประชากรเป้าหมาย 12,704,543 คน ฉีดเข็มที่ 1 แล้ว 10,737,798 โดส คิดเป็น ร้อยละ 84.5 ฉีดเข็มที่ 2 แล้ว 10,235,295 โดส คิดเป็นร้อยละ80.6และฉีดเข็มที่3 แล้ว 6,091,180 โดส คิดเป็น ร้อยละ 47.9 ส่วนเด็กอายุ 5-11 ปี ประชากรเป้าหมาย 5,150,082 คน ฉีดเข็มที่ 1 แล้ว 3,206,971 โดส คิดเป็นร้อยละ 62.3 ฉีดเข็มที่ 2 แล้ว 2,163,930 โดสคิดเป็น ร้อยละ 42
แอสตร้าฯเข็ม4สกัดโอมิครอนสูง73%
วันเดียวกัน บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยผลการศึกษาประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในจ.เชียงใหม่ โดยทีมวิจัยจากคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ร่วมกับ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เชียงใหม่ และคณะพบว่า วัคซีนป้องกันโควิดของแอสตร้าฯ เข็มกระตุ้น เข็มที่ 4 มีประสิทธิผลป้องกันติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอน แอสตร้าฯระบุว่า หลักฐานการใช้จริงจากทั่วโลกแสดงให้เห็นว่า วัคซีนแอสตร้าฯมีประสิทธิผลของวัคซีนร้อยละ 73 ป้องกันติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนที่ระบาดเร็ว เมื่อได้รับวัคซีนแอสตร้าฯเข็มที่ 4 โดยไม่ขึ้นกับชนิดของวัคซีนที่ได้รับก่อนหน้า ทั้งนี้ ผลศึกษานี้เป็นข้อมูลชุดแรกที่ประเมินประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันโควิดแบบสูตรไขว้ 4 เข็ม
ชี้ประสิทธิภาพใกล้เคียงวัคซีนmRNA
“ผลวิจัยแสดงให้เห็นว่า วัคซีนโควิดเข็มกระตุ้นที่ 4 ทุกชนิด ที่ศึกษามีประสิทธิผลป้องกันติเชื้อโอมิครอนสูงถึง ร้อยละ 75 โดยประสิทธิผลของวัคซีนของแอสตร้าฯอยู่ที่ร้อยละ 73 ถือว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงกับวัคซีน mRNAอื่น ที่ศึกษาในงานวิจัยนี้ ที่มีประสิทธิผลร้อยละ 71 โดยประสิทธิผลวัคซีนดังกล่าวถูกปรับเพื่อขจัดอิทธิพลจากตัวแปรอย่าง อายุ เพศ เวลารับวัคซีนตามปฏิทิน และประเภทสูตรวัคซีนที่ได้รับก่อนหน้า”แถลงการณ์ระบุ
สูตรไขว้3เข็มลดป่วยรุนแรง-ตาย98%
นายจอห์น เปเรซ รองประธานอาวุโส หัวหน้าฝ่ายพัฒนาขั้นสุดท้าย ฝ่ายวัคซีนและภูมิคุ้มกันบำบัด แอสตร้าฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า เราทราบแล้วว่า วัคซีนโควิดของแอสตร้าฯช่วยป้องกันติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนได้ดีพอสมควร เมื่อได้รับเป็นเข็มกระตุ้นที่ 4 ป้องกันติดเชื้อสูงกว่าหลังรับวัคซีนเข็มกระตุ้นที่ 3นอกจากนี้ ผลวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นจากโรงพยาบาล (รพ.) รายงานประสิทธิผลวัคซีนต่ออาการป่วยรุนแรงจากโควิด โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ และการเสียชีวิตช่วงการระบาดหนักของสายพันธุ์โอมิครอนระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมพบว่า การได้รับวัคซีนแบบสูตรไขว้ 3 เข็มป้องกันติดเชื้อรุนแรงหรือการเสียชีวิตจากโควิดได้ร้อยละ 98 ในประชากรทุกช่วงอายุที่ศึกษา มีเสียชีวิตเพียงรายเดียวในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวหลังรับวัคซีนเข็มกระตุ้นที่ 4 บ่งชี้ถึงประสิทธิผลระดับสูงมากของวัคซีน โดยการวิเคราะห์ข้อมูลชุดนี้อยู่ในขั้นตอนเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง จะรายงานผลสรุปทั้งหมดภายหลัง
เข็มกระตุ้นทุกวัคซีนยังสู้โอมิครอนได้
ด้านนพ.สุวัฒน์ จริยาเลิศศักดิ์ คณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ มช.กล่าวว่า การศึกษานี้ได้แสดงข้อมูลสำคัญว่า วัคซีนโควิดเข็มที่ 4 ไม่ว่าจะเป็นชนิดใดมีประสิทธิผลช่วยป้องกันติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนที่ระบาดเร็ว การสร้างภูมิคุ้มกันต่อเนื่องโดยฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เป็นสิ่งสำคัญสำหรับประชากรกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรัง ผลวิจัยยังสนับสนุนประสิทธิผลการฉีดวัคซีนในแบบสูตรไขว้ต่างๆ สามารถช่วยสนับสนุนการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ครอบคลุมมากขึ้นในประชากรทั่วไป
ปชช.62%เลือกถอดแมสก์บางพื้นที่
นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิดที่มีมาตรการผ่อนคลายให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยตามความสมัครใจ โดยปฏิบัติตามมาตรการสธ. สบส.โดยกองสุขศึกษาได้สำรวจการเฝ้าระวังการตัดสินใจต่อมาตรการปลดล็อคการสวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่เฝ้าระวัง และพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว ระหว่างวันที่ 17- 30 มิถุนายน ผ่านระบบออนไลน์ 7,507 ราย พบว่า ประชาชนร้อยละ 36.3 เลือกสวมหน้ากากอนามัยอย่างเคร่งครัดเหมือนเดิม ขณะที่ประชาชนร้อยละ 62.8 เลือกถอดหน้ากากอนามัยบางพื้นที่ ส่วนประชาชนร้อยละ 0.9 เลือกไม่สวมหน้ากากอนามัยเลย
12.5%ถอดแมสก์ในสถานบันเทิง
ทั้งนี้ ยังคงมีประชาชนเลือกถอดหน้ากากอนามัยบางสถานที่หรือบางสถานการณ์ที่ยังเสี่ยง ดังนี้ สถานบริการ สถานบันเทิงร้อยละ 12.53 โรงภาพยนตร์ร้อยละ 10.35 ห้างสรรพสินค้าร้อยละ 9.79 ตลาด ร้อยละ 8.95 ขนส่งสาธารณะร้อยละ 8.78 จากผลสำรวจพบว่า ประชาชนไม่สวมหน้ากากในสถานบริการ สถานบันเทิง ซึ่งเสี่ยงกระจายเชื้อโควิด จากการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก และหากใช้แก้วน้ำดื่มเครื่องดื่มร่วมกันจะแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 ได้มากเช่นกัน
ย้ำกลุ่มเสี่ยง6089ใส่แมสก์ตลอดเวลา
ทพ.อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดี สบส.กล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ศบค.ผ่อนคลายมาตรการให้สวมและถอดหน้ากากตามความสมัครใจ ซึ่งสถานการณ์โควิดขณะนี้ทรงตัว และอาจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จึงขอแนะนำให้ประชาชนป้องกันตนเองอย่างเหมาะสม สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่นในสถานที่แออัด มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก รวมทั้งสถานที่ที่อากาศไม่ถ่ายเท สำหรับผู้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะกลุ่ม 608 คือ ผู้สูงอายุและหญิงตั้งครรภ์ ผู้มีโรคประจำตัว และผู้ปฏิบัติหน้าที่ให้บริการหรือใกล้ชิดบุคคล ควรสวมหน้ากากอนามัยถูกวิธีตลอดเวลา เมื่อต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่น และเคร่งครัดมาตรการป้องกันติดเชื้อสูงสุดแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention: UP) โดยเฉพาะล้างมือบ่อยๆ ถ้ามีอาการต้องสงสัยควรตรวจ ATK คัดกรองเบื้องต้นทุก 3-5 วัน ลดความเสี่ยงแพร่กระจายไปกลุ่มเพื่อน และในครอบครัว
เพิ่มช่องทางรักษาสแกน/โทร-แจก-จบ
ขณะที่นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นขณะนี้ รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขเป็นห่วงประชาชน จึงมอบให้กรมการแพทย์ประสานกรุงเทพมหานคร (กทม.) และหน่วยงานเครือข่าย ได้แก่ โรงพยาบาล (รพ.) ภาคีเครือข่าย UHosNeT กทม. กระทรวงกลาโหม รพ.เอกชน ภาคประชาสังคม รับมือการระบาดและดูแลผู้ติดเชื้อ ทั้งนี้ กรมการแพทย์ต่อยอดระบบดูแลจากเดิม เจอ-แจก-จบ ไปสู่ “สแกน (หรือโทร.)-แจก-จบ” เป็นการจัดทำ QR code หรือโทรศัพท์ติดต่อสถานพยาบาลในสังกัดกรมการแพทย์ สำหรับผู้ป่วยที่มีโทรศัพท์ เพิ่มช่องทางให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาโดยไม่ต้องมาสถานพยาบาล ในกลุ่มที่ไม่มีอาการหรืออาการไม่รุนแรง
นพ.ธีระชี้BA.4-BA.5ไม่กระจอก
รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กระบุสถานการณ์ระบาดของไทยยังเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จากรายงานของ European Centre for Disease Prevention and Control (ECDC) ชี้ให้เห็นว่า โอมิครอน BA.4 และ BA.5 ในยุโรปกำลังระบาดหนัก ทำให้มีผู้ป่วยต้องรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นชัดเจนทุกช่วงอายุ นอกจากนี้ ยังมีผู้ป่วยรุนแรงจนเข้าไอซียูและเครื่องช่วยหายใจเพิ่มขึ้นชัดเจนมากในคนอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป เราคงต้องระวัง เพราะธรรมชาติของโรคสอดคล้องกันไม่ว่าอยู่ที่ใดในโลก มีโอกาสสูงที่เราเผชิญระบาดที่มีสายพันธุ์ย่อยไปพร้อมกันได้ หากไม่ป้องกันให้ดี จากความรู้ที่มีขณะนี้ BA.4 BA.5 และ BA.2.75นั้น ไม่กระจอก ใช้ชีวิตได้ ทำมาหากินได้ ศึกษาเล่าเรียนได้ แต่ควรป้องกันตัวเสมอ ไม่ว่าสายพันธุ์ไหนก็ตาม หากเราใช้ชีวิตมีสติ ใช้ความรู้ที่ถูกต้อง ไม่ประมาท จะลดความเสี่ยงได้มาก การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นนั้นจำเป็น และที่จำเป็นอย่างยิ่งคือ ใส่หน้ากากอนามัยถูกต้อง เป็นสิ่งสำคัญมาก
จี้รัฐเลิกผูกขาดยารักษาเชื้อโควิด
วันเดียวกัน ชมรมแพทย์ชนบทโพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณียารักษาโควิดขาดแคลนอย่างหนักว่า ยาฟาวิพิราเวียร์ โมลนูพิราเวียร์ขาดหนัก แพทย์ชนบทมีข้อเสนอ เลิกผูกขาด ยามีพอทันที แถมราคาถูกลง…เนื้อหาโดยสรุปว่า รัฐบาลผูกขาดการผลิตและจัดหายาฟาวิให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) พร้อมบอกว่า ไทยสามารถผลิตยาฟาวิป้อนโรงพยาบาลได้เพียงพอ ต่อมาก็ขยายผูกขาดสู่ยาโมลนูพิราเวียร์และแพกซ์โลวิดด้วย และนำมาสู่ปัญหายาขาดตลอดการสู้ภัยโควิด ทั้งนี้ ความจริงทั่วโลก ยาไม่ได้ขาด แต่ที่ไทยยาขาด เพราะการผูกขาด เพียงกระทรวงสาธารณสุขประกาศยกเลิกผูกขาดโดยองค์การเภสัชกรรม ให้บริษัทเอกชนนำเข้าได้ ความขาดแคลนยาจะหายไปในทันที
เปิดทางเอกชนนำเข้ายา-ราคาถูกลง
“บทเรียนนี้เช่นเดียวกับกรณีวัคซีนโควิดที่รัฐบาลให้อภ.ผูกขาดจนวัคซีนขาดแคลน แม้เอกชนสั่งและพร้อมนำโมเดอร์นาเข้ามาช่วย ก็ทำไม่ได้ เพราะผูกขาดไว้ การยุติการผูกขาดเท่านั้นที่จะยุติภาวะยาขาดแคลนไปเลย เอาเข้าจริงๆ อภ.ก็ผลิตฟาวิกะพร่องกะแพร่งมากจนแทบไม่ได้ผลิต หันมานำเข้าแทนเพราะถูกกว่า เช่นนี้แล้ว สธ.จะปิดกั้นเอกชนไปทำไม ให้เขานำเข้าด้วย ราคาฟาวิ โมลนูจะถูกลง และไม่ขาดแคลนแน่นอน” แพทย์ชนบทระบุ
และว่า จากข่าวที่สภาพัฒน์ฯเสนอครม.ของบเงินกู้อีก 3,995 ล้านบาท ให้อภ.ซื้อยาฟาวิฯนั้น ยิ่งควรเลิกใช้กลไกเก่าที่ได้แล้ว เสียดายงบ พร้อมปลดล็อกให้บริษัทยาเอกชนนำเข้าได้ แล้วให้รัฐกำหนดอัตราเบิกจ่ายชดเชยคืนโรงพยาบาลในราคาต้นทุน เงินร่วม 4 พันล้านนี้นำไปจ่ายชดเชยให้โรงพยาบาลแทน จะประหยัดงบได้กว่ามาก เพราะทันทีที่ยกเลิกผูกขาด ราคายาจะถูกลง จนสังคมจะตั้งคำถามว่า ทำไมที่ผ่านมาซื้อล็อตใหญ่แต่ราคากลับสูงกว่า กทม.โรงพยาบาลเอกชน ร้านขายยาขอจัดหาและจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์และโมลนูพิราเวียร์ตามใบสั่งแพทย์ได้ เช่นนี้ก็ควรปลดล็อกให้โรงพยาบาลรัฐด้วย เพื่อยุติปัญหายาฟาวิพิราเวียร์ยาโมลนูพิราเวียร์ขาดแคลน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี