วันจันทร์ ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ในประเทศ
สธ.ยํ้าอย่ากังวล  ชายไทยติดBA2.75รักษาหายแล้ว  แจงอาการคล้ายโควิดสายพันธุ์อื่น

สธ.ยํ้าอย่ากังวล ชายไทยติดBA2.75รักษาหายแล้ว แจงอาการคล้ายโควิดสายพันธุ์อื่น

วันศุกร์ ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2565, 06.00 น.
Tag : โควิด สธ. BA2.75
  •  

สธ.ยํ้าอย่ากังวล

ชายไทยติดBA2.75รักษาหายแล้ว

แจงอาการคล้ายโควิดสายพันธุ์อื่น

ป่วยใหม่2,607ครองเตียง15.20%

โควิดไทยทรงตัวแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งยอดติดเชื้อรายวัน 2,607 ราย ตาย 23 ศพ ผู้ป่วยอาการรุนแรง 854 ราย อัตราครองเตียงป่วยโคม่าสูงขึ้น 15.20% “สธ.” แจงเคสเด็ก 6 ขวบ ติดโควิดเสียชีวิตไม่ได้รับวัคซีน เกิดติดเชื้อทำให้ตายจากภาวะอักเสบหลายอวัยวะหรือ MIS-C ย้ำพ่อแม่พาลูกอายุ5ปีขึ้นไปฉีดด่วน กรมวิทย์ฯแจงสุ่มตรวจเจอติดเชื้อBA.2.75ที่ตรังเป็นระบบติดตามสายพันธุ์โควิด แจงผู้ป่วยอาการไม่ต่างจากสายพันธุ์ย่อยอื่น ขณะนี้กินยารักษาตามอาการกักตัวครบกำหนดแล้ว คนใกล้ชิด4รายไม่มีใครติดเชื้อ

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ศูนย์ข้อมูล Covid-19 รายงานสถานการณ์ระบาดโควิด-19 ประจำวันในประเทศไทย ที่ภาพรวมผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเริ่มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง


ป่วย2,607-ตาย23-ครองเตียงพุ่ง15.2%

โดยประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เข้ารักษาในโรงพยาบาล (รพ.) 2,607 ราย จำนวนผู้ติดเชื้อสะสม 4,568,461 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 23 ราย ผู้เสียชีวิตสะสม 31,073 ราย อัตราเสียชีวิตเฉลี่ยย้อนหลัง 7 วันอยู่ที่ 2 รายต่อล้านประชากร ขณะที่ผู้ป่วยที่อยู่ในระบบการรักษา 23,445 ราย ผู้ป่วยอาการรุนแรง 854 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 382 ราย อัตราครองเตียงระดับ 2-3 อยู่ที่ร้อยละ 15.20 อัตราเฉลี่ย 14 วันย้อนหลัง ในผู้ป่วยรายใหม่ 2,118 ราย ผู้ป่วยปอดอักเสบ 854 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 382 ราย และเสียชีวิต 21 ราย

เข็ม3ยังฉีดได้แค่43.8%

ความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทยประจำวันที่ 20 กรกฎาคม มีผู้เข้ารับวัคซีน เพิ่มขึ้นรวม 63,576 โดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 ฉีด 5,504 โดส สะสม 57,073,50 โดส คิดเป็นร้อยละ 82.1 ของประชากร เข็มที่ 2 ฉีด 13,121 โดส สะสม 53,362,672 โดส คิดเป็น ร้อยละ 76.7 ของประชากร และเข็มที่ 3 ฉีด 44,951 โดส สะสม 30,454,927 โดส คิดเป็นร้อยละ 43.8 ของประชากร

สูงอายุฉีดเข็ม3ไม่ถึง50%

ขณะที่ การฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปในประชากรเป้าหมาย 12,704,543 คน ฉีดเข็มที่ 1 แล้ว 10,738,122 โดส คิดเป็นร้อยละ 84.5 ฉีดเข็มที่ 2 แล้ว 10,235,777 โดสคิดเป็นร้อยละ 80.6 และฉีดเข็มที่ 3 แล้ว 6,106,865 โดสคิดเป็น ร้อยละ 48.1 ส่วนเด็กอายุ 5-11 ปีประชากรเป้าหมาย 5,150,082 คน ฉีดเข็มที่ 1 แล้ว 3,213,057 โดส คิดเป็นร้อยละ 62.4 ฉีดเข็มที่ 2 แล้ว 2,181,701 โดสคิดเป็น ร้อยละ 42.4

สถานการณ์ทั่วโลกพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 971,509 ราย สะสมแล้ว 571,702,166 ราย ผู้ป่วยอาการรุนแรง 40,532 ราย ผู้เสียชีวิตรายใหม่ 2,018 ราย สะสม 6,396,086 ราย โดยประเทศที่มีการติดเชื้อใหม่สูงสุด คือ สหรัฐอเมริกา 113,588 ราย สะสม 91,767,460 ราย เสียชีวิตรายใหม่ 367 ราย สะสม 1,050,702 ราย

สธ.แจงเคส6ขวบไม่ได้ฉีดวัคซีน

ด้านนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ชี้แจงกรณีมีการรายงานข่าวนักเรียนชั้นปฐมศึกษาปีที่ 2 อายุ 6 ปี ติดเชื้อโควิด -19 ป่วยหนักและเสียชีวิตจากภาวะMIS-C หรือการอักเสบหลายอวัยวะว่า จากการตรวจสอบกับหน่วยงานในพื้นที่ ข้อมูลเบื้องต้นเป็นเด็กชายอายุ 6 ปี 8 เดือน เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 บ้านพักอยู่จ.ปทุมธานี ถูกวินิจฉัยโรคโควิด- 19 มีไข้ น้ำมูก ถ่ายเหลว อ่อนเพลีย รักษาที่สถานพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ก่อนส่งตัวต่อมาที่รพ.ปทุมธานี เนื่องจากมีอาการซึม มือเท้าเย็นและช็อคเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม แพทย์รักษาเต็มที่ แต่เนื่องจากผู้ป่วยรายนี้เกิดภาวะอักเสบในหลายอวัยวะ หรือที่เรียกว่าภาวะ MIS-C ทั้งที่หัวใจและปอดทำให้อาการรุนแรงเสียชีวิต สอดคล้องกับประวัติเด็กที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ทำให้มีโอกาสเสี่ยงเกิดภาวะ MIS-C

ห่วงเด็กติดเชื้อเสี่ยงดับจากภาวะMIS-C

นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า สำหรับสถานการณ์โควิด -19 ในประเทศไทยระยะนี้เป็นการติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ย่อย BA.5 แพร่เชื้อเร็วกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะเด็กนักเรียนที่คลุกคลีใกล้ชิดกันตลอด เมื่อเด็กติดเชื้อส่วนใหญ่มีอาการป่วยไม่รุนแรง เช่น ไข้ ไอ น้ำมูก เจ็บคอ หายได้เอง แต่มีส่วนน้อยมากที่สามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น เกิดภาวะอักเสบในหลายอวัยวะ หรือที่เรียกว่าภาวะ MIS-C ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีโอกาสเสียชีวิตได้สูง เพราะเกิดการอักเสบที่อวัยวะสำคัญ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือช็อค ดังนั้น หากบุตรหลานมีอาการผิดปกติ เช่น หายใจเร็ว เหนื่อย ซึม ตัวเย็น เรียกไม่รู้สึกตัว หลังติดเชื้อโควิดแนะนำให้ผู้ปกครองรีบพาเด็กไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อได้รับการรักษาที่เหมาะสม

ย้ำพ่อแม่พาลูกหลานฉีดวัคซีนด่วน

“ภาวะอักเสบหลายอวัยวะหรือMIS-C ในเด็ก ป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน เราต้องระวังแต่อย่าตื่นตระหนก เพราะไม่ได้เกิดบ่อยในเด็กที่เป็นโควิด หากเด็กฉีดวัคซีนครบจะทำให้มีโอกาสติดเชื้อและป่วยน้อยลง กรณีป่วยอาการจะไม่รุนแรง จึงขอให้ผู้ปกครองนำบุตรหลานไปฉีดวัคซีน ที่มีทั้งไฟเซอร์ และ ซิโนแวค สธ.จัดหาวัคซีนให้ทุกกลุ่มวัยและทุกคนไปฉีดได้ที่สถานบริการทั้งภาครัฐและเอกชนที่ร่วมให้บริการได้ทุกวัน”โอภาส กล่าว

ฉีดmRNAเข็มกระตุ้นลดติดได้พอกัน

ขณะที่นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรคเปิดเผยถึงผลการศึกษาประสิทธิผลของวัคซีนโควิด 19 ในจ.เชียงใหม่ โดยทีมวิจัยจากคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำโดย ศ.นพ.ดร.สุวัฒน์ จริยาเลิศศักดิ์ ร่วมกับสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ที่ดำเนินการต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมกราคมว่า การฉีดวัคซีน AstraZeneca, Pfizer หรือ Moderna เป็นเข็มกระตุ้นที่ 4 ส่วนใหญ่เป็นสูตรไขว้ มีประสิทธิผลป้องกันติดเชื้อจากสายพันธุ์โอมิครอนได้สูงถึง ร้อยละ 73 ร้อยละ 71 และร้อยละ 71 ตามลำดับ ซึ่งระดับประสิทธิผลนี้เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับผู้ได้รับวัคซีนเพียง 3 เข็ม

“จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นที่ 4 ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนชนิด mRNA หรือไวรัสเป็นตัวนำ มีประสิทธิผลไม่ต่างกันในการป้องกันติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนในประชากรอายุ 18 ปีขึ้นไป ดังนั้น การสร้างภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับประชากรกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะกลุ่ม 608”นพ.โสภณกล่าว

จี้ลูกหลานพาสูงวัย2ล.คนฉีดกระตุ้น

และว่า การวิเคราะห์ข้อมูลพบผู้ได้รับวัคซีนครบ 3 เข็มจะช่วยป้องกันอาการรุนแรงและเสียชีวิตจากสายพันธุ์โอมิครอนได้สูงถึงร้อยละ 96 ในกลุ่มอายุ 18-59 ปี และร้อยละ 97 ในกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป ดังนั้น กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และ 7 กลุ่มโรคเสี่ยง รวมถึงหญิงตั้งครรภ์ เป็นเป้าหมายสำคัญในการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ได้มากที่สุด ต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 เพื่อความปลอดภัย ลดความเสี่ยงป่วยหนักและเสียชีวิต ดังนั้น ขอให้ลูกหลานพาผู้สูงอายุที่ยังไม่ได้รับวัคซีนอีกประมาณ 2 ล้านคน ตลอดจนผู้ได้รับวัคซีน 2 เข็มแล้วนานกว่า 4 เดือน แต่ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 ให้รีบมารับวัคซีนเข็มกระตุ้นโดยเร็ว เพราะ 2 กลุ่มนี้ยังพบผู้เสียชีวิตมากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิตจากโควิดทุกวันนี้

BA.2.75อาการไม่ต่างจากสายพันธุ์อื่น

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวชี้แจงเพิ่มเติมถึงกรณีตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.2.75 ที่จ.ตรังว่า เป็นการตรวจตามระบบเฝ้าระวังป้องกันสายพันธุ์ตามปกติของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์อยู่แล้ว กรณีนี้ไม่ได้พบมีความผิดปกติอะไร แต่เป็นรอบการสุ่มตรวจสายพันธุ์ตามปกติ เมื่อตรวจเบื้องต้นแล้วพบว่าไม่เข้ากับสายพันธุ์ BA.4 หรือ BA.5 ที่มีในไทยจึงต้องส่งถอดพันธุกรรมทั้งตัว ก็พบว่าเป็นสายพันธุ์ BA.2.75 จึงรายงานไปยังกรมควบคุมโรค ให้สอบสวนโรคต่อไป พร้อมทั้งรายงานไปยังฐานข้อมูล GISAID เพราะสายพันธุ์ดังกล่าว ทางองค์การอนามัยโลกจัดให้อยู่ในกลุ่มสายพันธุ์ที่น่ากังวลที่ต้องจับตาดู ส่วนอาการของผู้ติดโควิดสายพันธุ์ BA.2.75 ที่จ.ตรัง 1 คน นั้น ยังไม่มีอาการที่ต่างไปจากสายพันธุ์อื่นๆ ส่วนความแตกต่างระหว่างสายพันธุ์ BA.2.75 กับ BA.4 หรือ BA.5 และจะมาแทนที่กันหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลรายละเอียดมาก ต้องติดตามต่อเนื่อง ระหว่างนี้ขอความร่วมมือประชาชนไปรับวัคซีนป้องกันติดเชื้ออาการรุนแรง ลดความเสี่ยงเสียชีวิต

สสจ.ตรังแจงชาย53หายแล้วกักตัวครบ

นพ.ชัยรัตน์ ลำโป นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดตรัง (สสจ.ตรัง)กล่าวเพิ่มเติมว่า ชายวัย 53 ปี ผู้ติดเชื้อรายดังกล่าวตรวจพบและเข้ากระบวนการรักษาตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยตรวจเจอติดเชื้อจาก ATK สำหรับอาการมีแค่เจ็บคอ ไอ ไม่มีปอดอักเสบ ตรวจสอบประวัติพบมีโรคประจำตัวคือ ภูมิแพ้ อ้วน ได้รับยารักษาตามอาการ มีประวัติรับวัคซีนป้องกันโควิด 3 เข็ม อาการที่ปรากฏนั้นเป็นอยู่ 2-3 วันก็หาย แต่ให้ดูแลตัวเองที่บ้านจนครบกำหนดตามเกณฑ์ คิดว่าการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นมีส่วนสำคัญมากที่ช่วยให้ไม่มีอาการรุนแรง ส่วนการสอบสวนโรคนั้น คนที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อทั้งหมด 4 คน ไม่มีใครติดเชื้อแต่อย่างใด ดังนั้นชาวตรังไม่ต้องกังวล

แนะฉีดวัคซีนชนิดใดก็ได้กระตุ้นเข็ม4 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมแนะนำให้ประชาชนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น และกลุ่มเสี่ยง 608 ให้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เข็มที่ 4 โดยจะฉีดวัคซีนชนิดใดก็ได้ ทั้งแอสตร้าเซเนก้า ไฟเซอร์ หรือโมเดอร์นา เพราะมีรายงานว่า ประสิทธิผลป้องกันติดเชื้อจากสายพันธุ์โอมิครอนได้สูงถึง 73%, 71%, และ 71% ตามลำดับ ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับผู้ได้รับวัคซีนเพียง 3 เข็ม ซึ่งวัคซีนทั้งสองชนิดไม่ว่าจะเป็นชนิด mRNA หรือ Virus Vector ก็มีประสิทธิผลป้องกันติดเชื้อได้ไม่ต่างกัน ดังนั้น ประชาชนทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปและกลุ่ม 608 ควรให้ความสำคัญในการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ได้ตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดมากที่สุด เพื่อให้เกิดความปลอดภัย ลดความเสี่ยงป่วยหนักและเสียชีวิต

สธ.ยันสำรองยา-เวชภัณฑ์เพียงพอ

นายธนกรกล่าวด้วยว่า นายกฯ ยังได้รับการยืนยันจาก สธ.ว่ายาและเวชภัณฑ์ที่ใช้ดูแลรักษาผู้ติดเชื้อโควิดมีเพียงพอ ล่าสุดสถานการณ์ยาคงเหลือจนถึงวันที่ 2 กรกฎาคมพบว่า ยา Favipiravir 200 mg คงเหลือ7,196,268 เม็ด ยา Molnupiravir 200 mg คงเหลือ 4,092,423 เม็ด และยา Remdesivir 100 mg คงเหลือ 38,691 vial ล่าสุดคณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการจัดหายารักษาผู้ป่วยโควิดระยะเวลาดำเนินงาน 3 เดือนตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-กันยายน ในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ (ของใหม่) ได้แก่ Favipiravia/Molnupiravia เฉลี่ย 27 ล้านเม็ด/เดือน และ Remdesivir 57,000 vial/เดือน รวมทั้งเป็นการแบ่งค้างชำระสำหรับ Favipiravia/Molnupiravia 165 ล้านเม็ด และค่าชุดตรวจ ATK 1 ล้านชุดอีกด้วย เพื่อเสริมความมั่นคงทางสาธารณสุข เพิ่มความมั่นใจประสิทธิภาพการรักษาโควิดให้ประชาชน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • โควิดติดเชื้อพุ่งแค่สัปดาห์เดียว พรวด1.11แสน  เสียชีวิต31ศพ โควิดติดเชื้อพุ่งแค่สัปดาห์เดียว พรวด1.11แสน เสียชีวิต31ศพ
  • โควิด’ป่วยพุ่ง  วันเดียว2หมื่น  ปิดรร.สระแก้ว พบระบาดหนัก โควิด’ป่วยพุ่ง วันเดียว2หมื่น ปิดรร.สระแก้ว พบระบาดหนัก
  • โควิดติดเชื้อพุ่ง หมอจุฬาชี้น่าเป็นห่วง สธ.ยันพร้อมรับมือได้ โควิดติดเชื้อพุ่ง หมอจุฬาชี้น่าเป็นห่วง สธ.ยันพร้อมรับมือได้
  • ‘สมศักดิ์’ยืนยัน สธ.พร้อมรับมือ‘โควิด-19’ ชี้การแพร่ระบาดมีแนวโน้มลดลง ‘สมศักดิ์’ยืนยัน สธ.พร้อมรับมือ‘โควิด-19’ ชี้การแพร่ระบาดมีแนวโน้มลดลง
  • WHO เตือนโควิดกลับมา จับตาพันธุ์ใหม่ NB1.8.1 WHO เตือนโควิดกลับมา จับตาพันธุ์ใหม่ NB1.8.1
  • โควิดรอบ7วันพุ่ง  ป่วย6.5หมื่น/ดับ8ศพ โควิดรอบ7วันพุ่ง ป่วย6.5หมื่น/ดับ8ศพ
  •  

Breaking News

'สรรเพชญ'หนุนเยาวชนภาคใต้สร้างสังคมปลอดภัยจากยาสูบ

พร้อมอพยพทันที! 'ภูมิธรรม'เผยช่วยคนไทยในตะวันออกกลาง กองทัพเตรียมเครื่องบินไว้แล้ว

สมัยแรก! 'โอเคซี'ทุบ'เพเซอร์'ผงาดแชมป์NBA

ชาวกัมพูชารอลุ้น! ผู้ว่าฯอุดรมีชัย เจรจา'ฮุน มาเนต' ขอเปิดด่านตรงข้ามช่องสะงำ

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved