สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) ในเดือนตุลาคม 2565 จะมีอายุครบ 5 ปี และครบ 1 ปี ภายใต้การนำของหัวเรือคนที่ 2 ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช.คนปัจจุบัน มีผลงานการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่เห็นผลเป็นรูปธรรมอะไรบ้าง?
“ปัจจุบัน สทนช. เน้นในเรื่องการทำงานเชิงรุกและเปิดรับความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง และได้มีการวิเคราะห์ปัญหา อุปสรรค เพื่อพัฒนาการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งให้ความสำคัญกับความถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ในทุกกระบวนการ โดยได้มีการสร้างระบบติดตามประเมินผลอย่างเข้มข้นเพื่อขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ โดยสทนช. จะมีการติดตามขับเคลื่อนการดำเนินงานโครงการที่ กนช. ให้ความเห็นชอบ ก่อนเสนอ ครม. อนุมัติโครงการ รวมทั้งจะมีการเร่งรัดโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญที่อยู่ในแผนการขับเคลื่อนให้เป็นไปตามเป้าหมาย ทั้งนี้ การทำงานของ สทนช. ในปัจจุบันได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี พ.ศ. 2561-2580 และพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 เป็นเป้าหมายร่วมที่ต้องยึดถือปฏิบัติตาม เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาทรัพยากรน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนและประเทศชาติ” ดร.สุรสีห์กล่าว
สทนช.ได้ดำเนินงานตามนโยบายของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ในการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งจากการดำเนินการตามแผนแม่บทน้ำฯ ตั้งแต่ปี 2561-ปัจจุบัน พบว่า สามารถเพิ่มประสิทธิภาพประปาหมู่บ้านได้ถึง 4,973 แห่ง พัฒนาแหล่งน้ำผิวดินสามารถเก็บกักน้ำได้เพิ่มขึ้น 1,189 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) พัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรได้ปริมาณน้ำ 149 ล้าน ลบ.ม. ดำเนินการก่อสร้างระบบป้องกันอุทกภัย มีพื้นที่ที่ได้รับการป้องกัน 32,005 ไร่ ประชาชนได้รับการป้องกัน 27,364 ครัวเรือน สร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชน 14 แห่ง และอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าต้นน้ำได้ถึง 156,070 ไร่ ขณะที่การปฏิบัติการฝนหลวงเติมน้ำให้แหล่งน้ำได้ถึง 314 ล้าน ลบ.ม.
สำหรับโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่และโครงการสำคัญนั้น สทนช. มีการดำเนินงานตามกระบวนการอย่างต่อเนื่องและละเอียดรอบคอบ เพื่อให้มีความถูกต้องตามระเบียบหลักเกณฑ์ โดยมีการเร่งรัดการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้า พร้อมเน้นย้ำกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ผ่านคณะกรรมการลุ่มน้ำ คณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด เพื่อให้การดำเนินงานโครงการสอดคล้องกับความต้องการของแต่ละพื้นที่อย่างแท้จริง อันจะเห็นได้จากความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(กนช.) ที่มี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้เห็นชอบโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่และโครงการสำคัญไปแล้ว 43 โครงการ โดยในส่วนนี้ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างไปแล้ว 25 โครงการ เมื่อแล้วเสร็จทั้งหมดจะสามารถเก็บกักน้ำได้ 1,571 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) มีพื้นที่ได้รับประโยชน์ 1.57 ล้านไร่ มีประชาชนได้รับประโยชน์กว่า 267,128 ครัวเรือน
นอกจากนี้ ภายในปี 2565-2567 จะสามารถดำเนินการขับเคลื่อนดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่และโครงการสำคัญอีกถึง 69 โครงการ เมื่อแล้วเสร็จสามารถเก็บกักน้ำได้รวมกัน 7,560 ล้านลบ.ม. มีพื้นที่ได้รับประโยชน์ 5.85 ล้านไร่ มีพื้นที่ป้องกันน้ำท่วม 5.81 ไร่ และมีประชาชนได้รับประโยชน์ถึง 2.63 ล้านครัวเรือน
อาทิ โครงการแก้ปัญหาภัยแล้ง จ.กาญจนบุรี ในพื้นที่เขต อ.หนองปรือ อ.บ่อพลอย อ.เลาขวัญ อ.ห้วยกระเจา อ.พนมทวน และ อ.ท่าม่วง ซึ่งเป็นพื้นที่ี่ฝนตกน้อย ประสบภาวะปัญหาฝนทิ้งช่วง ขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรเป็นประจำ รัฐบาลได้วางแนวทางในการแก้ไขโดยการพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำ พัฒนาระบบผันน้ำและโครงข่ายน้ำ สร้างระบบป้องกันน้ำท่วมชุมชนเมืองสำคัญ ปรับปรุงสิ่งกีดขวางทางน้ำ พัฒนาระบบระบายน้ำในพื้นที่ อนุรักษ์ฟื้นฟูป่าไม้ต้นน้ำ และพัฒนาน้ำบาดาล โดยมีแผนงานโครงการพัฒนาทรัพยากรน้ำที่สำคัญดำเนินการในปี’66-67 จำนวน
4 โครงการ ได้แก่
โครงการขยายความจุอ่างเก็บน้ำ ลำอีซู ความจุ 14.96 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่ได้รับประโยชน์ 5,000 ไร่ ปัจจุบันศึกษาและออกแบบแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างดำเนินการขอใช้พื้นที่ มีแผนดำเนินการปี 2567 โครงการผันน้ำ เขื่อนศรีนครินทร์ ระยะที่ 1 (โครงการสถานีสูบน้ำจากแม่น้ำแควใหญ่เพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง) ปริมาณน้ำที่ผันได้ 27.88 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่รับประโยชน์ 78,500 ไร่ปัจจุบันศึกษาแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างออกแบบ มีแผนดำเนินการปี 2567 โครงการจัดหาถังกรองน้ำขนาดใหญ่ช่วยเหลือประชาชนหมู่บ้านลำสมอ และ รร.ตชด.วัดสุธาสินี พื้นที่ได้รับประโยชน์ 500 ไร่ รับประโยชน์ 50 ครัวเรือน ปัจจุบันศึกษาและออกแบบแล้วเสร็จ มีแผนดำเนินการปี 2567 และโครงการซ่อมแซมระบบประปาภูเขาฐาน ตชด. ที่ 13 ช่องสามัคคี พื้นที่ได้รับประโยชน์ 50 ไร่ รับประโยชน์ 40 ครัวเรือน ปัจจุบันศึกษาแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างออกแบบ มีแผนดำเนินการปี 2567 เช่นเดียวกัน ทั้งนี้เมื่อแล้วเสร็จทั้ง 4 โครงการจะมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 43 ล้าน ลบ.ม. และมีพื้นที่รับประโยชน์ถึง 84,000 ไร่
นอกจากนี้ การแก้ปัญหาภัยแล้งแล้วรัฐบาลยังให้ความสำคัญในเรื่องการป้องกันน้ำท่วมอีกด้วย โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ ที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจของจังหวัด กรมโยธาธิการและผังเมืองได้ขับเคลื่อนโครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนแล้วเสร็จเรียบร้อยแล้วภายในปี 2565 ถึง 6 โครงการ ได้แก่ โครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนเมืองเชียงราย ระยะที่ 3 อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนบางมูลนาก ระยะที่ 3 อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร โครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนพยุหะ อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ โครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนเมืองอุทัยธานี ระยะที่ 3 อำเภอเมืองอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี โครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนเมืองเลย ระยะที่ 1 อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย และโครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนเมืองภูเก็ต ระยะที่ 1 อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต
โครงการบรรเทาอุทกภัยลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง 9 แผนงานก็เป็นอีกโครงการที่ สทนช. บูรณาขับเคลื่อนโครงการให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยได้แต่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนโครงการภายใต้แผนหลักการบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง เพื่อติดตาม พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาอุปสรรคเพื่อให้โครงการต่างๆ สามารถดำเนินการก่อสร้างได้ ทั้งนี้ในปีงบประมาณ 2567 จะสามารถขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ภายใต้ 9 แผนงานดังกล่าวได้เป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน
ล่าสุด เมื่อเร็วๆ นี้ พลเอกประวิตร ยังได้ลงพื้นที่จ.ตรัง ได้สั่งการให้กรมชลประทาน เร่งรัดการก่อสร้างโครงการระบบระบายน้ำแม่น้ำตรังให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2565 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในฤดูฝนที่จะมาถึง และเร่งรัดให้ดำเนินการก่อสร้างโครงการประตูระบายน้ำแม่น้ำตรัง รวมถึงช่องลัดและคันกั้นน้ำในปี 2567 โดยให้ สทนช. พิจารณายกระดับเป็นโครงการสำคัญอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในการขับเคลื่อนผลงานด้านทรัพยากรน้ำนั้น ย่อมมีอุปสรรคและปัญหาเกิดขึ้นเป็นธรรมดา โดยเฉพาะโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ซึ่ง สทนช. ได้เร่งบูรณาการแก้ไขปัญหาเพื่อให้การขับเคลื่อนโครงการเป็นไปตามเป้าหมาย อาทิ การเร่งสร้างความเข้าใจกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยพิจารณาแนวทางการชดเชยเยียวยาที่มีเป็นธรรมและเหมาะสม พร้อมจัดสรรพื้นที่รับประโยชน์ให้ผู้ได้รับผลกระทบ รวมถึงประสานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่อนุรักษ์ หรือการปรับแผนการดำเนินงานก่อสร้างกรณีที่เกิดปัญหาจากผู้รับจ้าง เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์ได้โดยเร็วตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ส่วนโครงการที่ยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณได้เร่งรัดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการพิจารณากรอกคำขอรับงบประมาณในระบบ Thai Water Plan (TWP) โดยโครงการพัฒนาทรัพยากรน้ำต้องไม่ซ้ำซ้อน เกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจของประเทศควบคู่กันด้วย
“การขับเคลื่อนงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ำสทนช. ให้ความสำคัญในการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รวมไปถึง NGOs โดยเล็งเห็นว่าการเปิดรับความคิดเห็นที่หลากหลาย ไม่ปิดกั้น จะช่วยผลักดันและขับเคลื่อนโครงการให้สามารถตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของประชาชน และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ หากมีหน่วยงานองค์กร หรือบุคคลใด ต้องการนำข้อมูลความรู้ต่างๆ ของ สทนช. ไปเผยแพร่ต่อ อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำมากขึ้นโดยไม่ขัดกับกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ สทนช.ก็ไม่ขัดข้องในการดำเนินการดังกล่าว” เลขาธิการ สทนช. กล่าวย้ำในตอนท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี