สธ.ชงศบค.เคาะ
ไวรัสโควิดโรคติดต่อต้องเฝ้าระวัง
ปรับแผนรักษา-กักตัว5+5
ใช้‘โมลนูพิราเวียร์’ยาหลัก
ป่วยใหม่1,508คน-ดับ29ศพ
โควิดไทยป่วยนอนรพ. 1,508 ราย จับตาปอดอักเสบขยับขึ้น 965 ราย เสียชีวิต 29 ศพ สบส.เผยผลสำรวจพฤติกรรมประชาชน พบเว้นระยะห่างน้อยลงเพิ่มความเสี่ยงติดโควิด สปสช.เก็บข้อมูลเช็คบิลรพ.เอกชนเรียกเก็บค่ารักษาโควิดเกินกว่าที่รัฐกำหนด ชี้ใครจ่ายส่งเรื่องพร้อมใบเสร็จขอเงินคืนได้ ขณะที่รมว.สธ.เตรียมเสนอที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ 19 ส.ค.ลดระดับโควิดเป็น “โรคติดต่อต้องเฝ้าระวัง” ทบทวนแผนรักษาตัวเป็น 5+5 ใช้ยา “โมลนูพิราเวียร์” เป็นยาหลักรักษายันมีเพียงพอ
เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 รายงานผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ประจำวัน ซึ่งมีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงต่ำกว่า 2 พันคน ขณะที่ผู้ป่วยปอดอักเสบเพิ่มขึ้น
ติดเชื้อ1,508-กำลังรักษา1.9หมื่น
โดยไทยพบผู้ป่วยรายใหม่ รักษาตัวในโรงพยาบาล (รพ.) 1,508 ราย จำแนกเป็นผู้ป่วยในประเทศ 1,508 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ – ราย ผู้ป่วยสะสม 2,400,161 ราย นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 หายป่วยกลับบ้าน 2,023 ราย หายป่วยสะสม 2,403,503 ราย นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 มีผู้ป่วยกำลังรักษา 19,712 ราย
ตาย29-ปอดอักเสบพุ่งเฉียดพันคน
ส่วนผู้เสียชีวิตมี 29 ราย เสียชีวิตสะสม 10,189 ราย นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นเป็น 965 ราย ผู้ติดเชื้อนอกโรงพยาบาล มีผลบวกจากการตรวจด้วยชุดตรวจ ATK สัปดาห์ที่ 32 ระหว่างวันที่ 7-13 สิงหาคม มีจำนวน 218,042 ราย สะสม 7,322, 891 ราย ร้อยละการตรวจพบเชื้อ เฉลี่ยย้อนหลัง 7 วันคิดเป็น 8.16%
ฉีดวัคซีนสะสม142ล.โดส
สำหรับตัวเลขผู้ฉีดวัคซีนข้อมูลถึงวันที่ 15 สิงหาคมมี 16,061 โดส แบ่งเป็น เข็มที่ 1 จำนวน 1,456 โดส เข็มที่ 2 จำนวน 1,781 โดส เข็มที่ 3 จำนวน 12,824 โดส รวมมีผู้ฉีดวัคซีนสะสม 142,217,962 โดส
ชงศบค.19สค.โรคติดต่อเฝ้าระวัง
ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ชุดใหญ่วันที่ 19 สิงหาคมว่า สธ.จะเสนอมติการประชุมของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติครั้งล่าสุด ที่เห็นชอบประกาศลดระดับโรคโควิด-19 จากโรคติดต่ออันตรายเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งจะรายงานให้ศบค.รับทราบ เพื่อให้มีความเห็นต่างๆ เพราะแม้ว่าจะคืนกฎหมายกลับมาแล้ว แต่เรายังคงใช้ความร่วมมือกันทำงาน ตนในฐานะรมว.สาธารณสุข รู้สึกว่าจำเป็นต้องเสนอให้ ศบค.รับทราบ เผื่อมีความเห็นใดเพิ่มเติม ไม่ใช่อ้างแต่กฎหมาย เพราะถ้าอ้างแต่กฎหมาย ก็คงประกาศเป็นกฎหมายไปแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะหารือบทบาท ศบค.หลังโควิดเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวังอย่างไร นายอนุทินกล่าวว่า อยากให้มองว่าทุกคนมาทำงานร่วมกัน นายกฯเสียสละลงมาบัญชาการ รวบรวมหน่วยงานเข้าด้วยกัน แต่ถ้าทุกอย่างกลับไปเป็นปกติแล้ว สธ.มั่นใจว่าไม่ต้องพึ่งพาอำนาจหน่วยงานไหน นายกฯก็คงพิจารณาตามสถานการณ์ ตามรายงานที่เราให้ความมั่นใจกับท่าน
ปรับแผนรักษา/กักตัว5+5
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยว่า ที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์และสาธารณสุข (อีโอซี)โรคโควิด-19 สธ.ปรับการประชุมเป็นสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ได้ประเมินสถานการณ์รายวันรายสัปดาห์ และแจ้งให้ที่ประชุมทราบมติคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติปรับโรคโควิด-19 จากโรคติดต่ออันตราย เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งสธ.ต้องวางแผนบริหารจัดการโควิด-19 จนถึงเดือนธันวาคม ทั้งเรื่องการควบคุมโรค การดูแลรักษา วัคซีน และการประชาสัมพันธ์ โดยรูปแบบการรักษานั้น ต้องให้ยารักษาลงไปถึงระดับร้านขายยา เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงยาได้มากขึ้น โดยใช้ใบสั่งแพทย์ไปสั่งซื้อยา ส่วนการรักษานั้น ได้ทบทวนระยะเวลาการรักษา เพื่อผู้ติดเชื้อที่มีอาการถือเป็นผู้ป่วย จากที่ใช้อยู่ปัจจุบันคือ 7 วันและแยกกักตัวเพื่อสังเกตอาการ 3 วันหรือ 7+3 ที่ประชุมพิจารณาปรับแนวทางการรักษาใหม่ให้เป็น 5+5 คือ รักษาตัว 5 วัน แยกกักเพื่อสังเกตอาการ 5 วัน ซึ่งแนวทางนี้ใช้มาแล้ว ส่วนเรื่องยาโมลนูพิราเวียร์ จะเป็นยาหลักในการรักษา ซึ่งมีเพียงพอ
ปชช.เว้นระยะน้อยลงเสี่ยงติดเชื้อเพิ่ม
ด้านนพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ระบาดโควิด-19 ที่ทรงตัว และเชื้อมีโอกาสกลายพันธุ์ได้ สบส.สำรวจการเฝ้าระวังพฤติกรรมเสี่ยงโควิด โดยดำเนินการสำรวจเปรียบเทียบระหว่างวันที่ 5-31 มีนาคม 2565 จำนวน 113,847 คน และวันที่ 1-20 กรกฎาคม 2565 จำนวน 28,487 คน ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ โดยเปรียบเทียบการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล ผลสำรวจพบพฤติกรรมเสี่ยงติดโควิด-19 ที่กลับมาเพิ่มสูงขึ้นคือ พฤติกรรมไม่เว้นระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 1-2 เมตร มีพฤติกรรมเสี่ยงเพิ่ม ร้อยละ 4.27
มองการใส่แมสก์เป็นเรื่องสำคัญลดลง
“นอกจากนี้ ยังได้สำรวจความตระหนักรู้ต่อพฤติกรรมป้องกันติดเชื้อแบบครอบจักรวาล พบประเด็นที่ประชาชนตระหนักลดลงเสี่ยงโควิดคือ คิดว่าการสวมหน้ากากอนามัยเป็นเรื่องสำคัญ ความตระหนักลดลง ร้อยละ 11.06 จากผลการสำรวจสะท้อนคนไทยพบปะใกล้ชิดกันมากขึ้น ด้วยมาตรการที่ผ่อนคลาย ทำให้การระวังตัวในการเว้นระยะห่างลดลง และมีมาตรการผ่อนคลายการสวมหน้ากากอนามัย อย่างไรก็ยังต้องปฏิบัติตามมาตรการ Universal Prevention อย่างเคร่งครัดเช่นเดิม” นพ.ธเรศ กล่าว
เช็คบิลรพ.เอกชนเก็บรักษาโควิดเพิ่ม
ขณะที่นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารีย์ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงกรณีประชาชนถูกโรงพยาบาล (รพ.) เอกชน เรียกเก็บเงินค่ารักษาโควิดล่วงหน้าว่า หลายกรณีที่ สปสช.เคยรับเรื่องมาบางส่วน ได้รับการตอบกลับมีการคืนเงินส่วนนั้นแล้ว ขณะนี้ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบ โทรศัพท์ไปสอบถามผู้ป่วยทุกกรณี โดยเฉพาะ รพ.เอกชน ที่รับรักษาผู้ป่วยในระบบยูเซ็ปโควิด-19 (UCEP Covid)ว่า ผู้ป่วยถูกเรียกเก็บค่าใช้จ่ายหรือไม่ มีใบเสร็จหรือไม่ มีค่าอะไรบ้าง ขณะนี้โทรศัพท์ไปแล้วจำนวนหนึ่งยังไม่ครบ ในส่วนที่ตรวจสอบแล้วประมาณร้อยละ 30 พบว่า 1 ใน 3 แสดงใบเสร็จได้ชัดเจน ซึ่งตามหลักการจะไม่มีการเรียกเก็บเงินเพิ่มเติม แต่รพ.ก็อาจชี้แจงถึงกรณีผู้ป่วยต้องการอย่างอื่นเพิ่ม อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดอยู่ในกระบวนการตรวจสอบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเรียกคืนเงินให้ประชาชนที่มัดจำค่าใช้จ่ายไป จะได้เต็มจำนวนหรือถูกหักอย่างไร นพ.จเด็จกล่าวว่า สปสช.ยังไม่ทราบรายละเอียด แต่ต้องส่งข้อมูลให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ที่ดูแลหน่วยบริการ รพ.เอกชน ต้องตรวจสอบร่วมกัน แต่ต้องยอมรับว่า สปสช.ได้รับข้อมูลจากประชาชนที่ร้องเรียนเข้ามา จึงต้องรอผลตรวจสอบจากการโทรศัทพ์กลับไปสอบถาม แต่บางส่วนก็ติดปัญหา เพราะประชาชนก็กลัวจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือมิจฉาชีพ ส่วนหนึ่งก็ให้ความร่วมมือส่งใบเสร็จมา แต่หลายกรณีไม่สามารถติดต่อได้
ยันไม่มีเรียกเก็บค่ารักษาส่วนเกิน
“เราต้องโทรกลับหาผู้ป่วยทุกคนที่รับบริการจากเอกชน 100% ทั้งหมดเป็นแสนราย เพราะมีมติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้เราตรวจสอบการจ่าย ตามกติกาของยูเซ็ปโควิด-19 ที่ ครม.กำหนด คือ ราคาที่เห็นชอบ และต้องไม่เรียกเก็บเกินกว่าที่กำหนด ไม่ว่าจะเป็นรายการเดียวกัน หรือเก็บล่วงหน้า ต้องไม่มี เงินที่เราจ่ายให้รพ.เอกชนสำคัญที่สุด เราเตือนหลายครั้งแล้วว่า ต้องไม่มีการเรียกเก็บส่วนเกินจากผู้ป่วย ดังนั้น 1.ต้องคืนเงินให้ประชาชน 2.สปสช.ต้องเรียกเงินคืนในส่วนสปสช.ด้วย ตามมาตรฐานของมติ ครม.ที่สบส.เสนอการกำหนดราคาไปตามสภาวะฉุกเฉินวิกฤตที่มีกว่า 3,000 กว่ารายการ ทั้งนี้ หมายรวมถึง รพ.เอกชน นอกระบบด้วย เพราะตกลงรับราคาตามมติ ครม.แล้ว” นพ.จเด็จ กล่าว และว่า จะตรวจสอบผ่านสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) อีกทางด้วย
ฮึ่มรพ.คืนช้าต้องจ่ายค่าปรับดอกเบี้ย
นพ.จเด็จกล่าวด้วยว่า สปสช.จะเร่งสื่อสารให้ประชาชนทราบว่า หากมีการเรียกเก็บเงินจากหน่วยบริการกรณีโควิดต้องตามและส่งเรื่องเข้าไปที่สปสช. หลายคนได้รับเงินคืนแล้ว บางคนก็ตกหล่น ดังนั้น ขอให้ประชาชนส่งข้อมูลไปที่สายด่วน 1330 เรื่องนี้ละเลยไม่ได้ เพราะเป็นเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ กรณี รพ.จ่ายคืนล่าช้า ก็มีค่าปรับดอกเบี้ยให้ประชาชนด้วย อย่างไรก็ตาม หากประชาชนถูกเรียกเก็บเงินสามารถติดต่อรพ.นั้นๆก่อน หากถูกเพิกเฉยให้ติดต่อสายด่วน สปสช.1330 หรือไลน์ @nhso หรือสายด่วน สบส.1426 แนะนำว่า เมื่อรับสายพูดคุยแล้ว อาจกดวางสายก่อน แล้วติดต่อกลับไปที่ 1330 แต่ข้อสำคัญคือ อย่าเพิ่งให้ข้อมูลส่วนตัว ป้องกันเป็นแก็งมิจฉาชีพ แนะนำประชาชนแอดไลน์ สปสช. @nhso เพื่อสอบถามข้อมูล จะมีเจ้าหน้าที่คอยให้ข้อมูลอยู่
นายกฯปลื้มเครื่องตรวจโควิดฝีมือคนไทย
ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ชื่นชมความสำเร็จของทีมวิจัยไทย ประสาความสำเร็จในการคิดค้นเครื่องตรวจคัดกรองผู้ป่วยโควิด วิเคราะห์จากลมหายใจ โดยได้รับสนับสนุนทุนวิจัยจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งทีมวิจัยนำความรู้จากเครื่องตรวจระดับน้ำตาลในกระแสเลือด โดยใช้ลมหายใจ ซึ่งใช้งานกับโรคเบาหวานมาพัฒนาต่อยอดสร้างเป็นนวัตกรรมรูปแบบใหม่ ตรวจคัดกรองโควิด รู้ผลเร็วใน 5 นาที ที่สำคัญให้ความแม่นยำสูงถึง 97% ถือเป็นเรื่องที่ดีต่อระบบสาธารณสุขและประชาชน ช่วยลดขั้นตอน ลดสัมผัสร่างกาย ลดระยะเวลาเพิ่มความปลอดภัยให้บุคลากรทางการแพทย์ด้วย ทั้งนี้ นายกฯยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญและพร้อมสนับสนุนงานวิจัย เพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมแพทย์ของไทยเติบโตพัฒนาต่อไป
สธ.ชงศบค.เคาะ
ไวรัสโควิดโรคติดต่อต้องเฝ้าระวัง
ปรับแผนรักษา-กักตัว5+5
ใช้‘โมลนูพิราเวียร์’ยาหลัก
ป่วยใหม่1,508คน-ดับ29ศพ
โควิดไทยป่วยนอนรพ. 1,508 ราย จับตาปอดอักเสบขยับขึ้น 965 ราย เสียชีวิต 29 ศพ สบส.เผยผลสำรวจพฤติกรรมประชาชน พบเว้นระยะห่างน้อยลง
เพิ่มความเสี่ยงติดโควิด สปสช.เก็บข้อมูลเช็คบิลรพ.เอกชนเรียกเก็บค่ารักษาโควิดเกินกว่าที่รัฐกำหนด ชี้ใครจ่ายส่งเรื่อง
พร้อมใบเสร็จขอเงินคืนได้ ขณะที่รมว.สธ.เตรียมเสนอที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ 19 ส.ค.ลดระดับโควิดเป็น “โรคติดต่อต้องเฝ้าระวัง” ทบทวนแผนรักษาตัวเป็น 5+5 ใช้ยา “โมลนูพิราเวียร์” เป็นยาหลักรักษายันมีเพียงพอ
เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 รายงานผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ประจำวัน ซึ่งมีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงต่ำกว่า 2 พันคน ขณะที่ผู้ป่วยปอดอักเสบเพิ่มขึ้น
ติดเชื้อ1,508-กำลังรักษา1.9หมื่น
โดยไทยพบผู้ป่วยรายใหม่ รักษาตัวในโรงพยาบาล (รพ.) 1,508 ราย จำแนกเป็นผู้ป่วยในประเทศ 1,508 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ – ราย ผู้ป่วยสะสม 2,400,161 ราย นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 หายป่วยกลับบ้าน 2,023 ราย หายป่วยสะสม 2,403,503 ราย นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 มีผู้ป่วยกำลังรักษา 19,712 ราย
ตาย29-ปอดอักเสบพุ่งเฉียดพันคน
ส่วนผู้เสียชีวิตมี 29 ราย เสียชีวิตสะสม 10,189 ราย นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นเป็น 965 ราย ผู้ติดเชื้อนอกโรงพยาบาล มีผลบวกจากการตรวจด้วยชุดตรวจ ATK สัปดาห์ที่ 32 ระหว่างวันที่ 7-13 สิงหาคม มีจำนวน 218,042 ราย สะสม 7,322, 891 ราย ร้อยละการตรวจพบเชื้อ เฉลี่ยย้อนหลัง 7 วันคิดเป็น 8.16%
ฉีดวัคซีนสะสม142ล.โดส
สำหรับตัวเลขผู้ฉีดวัคซีนข้อมูลถึงวันที่ 15 สิงหาคมมี 16,061 โดส แบ่งเป็น เข็มที่ 1 จำนวน 1,456 โดส เข็มที่ 2 จำนวน 1,781 โดส เข็มที่ 3 จำนวน 12,824 โดส รวมมีผู้ฉีดวัคซีนสะสม 142,217,962 โดส
ชงศบค.19สค.โรคติดต่อเฝ้าระวัง
ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ชุดใหญ่วันที่ 19 สิงหาคมว่า สธ.จะเสนอมติการประชุมของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติครั้งล่าสุด ที่เห็นชอบประกาศลดระดับโรคโควิด-19 จากโรคติดต่ออันตรายเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งจะรายงานให้ศบค.รับทราบ เพื่อให้มีความเห็นต่างๆ เพราะแม้ว่าจะคืนกฎหมายกลับมาแล้ว แต่เรายังคงใช้ความร่วมมือกันทำงาน ตนในฐานะรมว.สาธารณสุข รู้สึกว่าจำเป็นต้องเสนอให้ ศบค.รับทราบ เผื่อมีความเห็นใดเพิ่มเติม ไม่ใช่อ้างแต่กฎหมาย เพราะถ้าอ้างแต่กฎหมาย ก็คงประกาศเป็นกฎหมายไปแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะหารือบทบาท ศบค.หลังโควิดเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวังอย่างไร นายอนุทินกล่าวว่า อยากให้มองว่าทุกคนมาทำงานร่วมกัน นายกฯเสียสละลงมาบัญชาการ รวบรวมหน่วยงานเข้าด้วยกัน แต่ถ้าทุกอย่างกลับไปเป็นปกติแล้ว สธ.มั่นใจว่าไม่ต้องพึ่งพาอำนาจหน่วยงานไหน นายกฯก็คงพิจารณาตามสถานการณ์ ตามรายงานที่เราให้ความมั่นใจกับท่าน
ปรับแผนรักษา/กักตัว5+5
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยว่า ที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์และสาธารณสุข (อีโอซี)โรคโควิด-19 สธ.ปรับการประชุมเป็นสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ได้ประเมินสถานการณ์รายวันรายสัปดาห์ และแจ้งให้ที่ประชุมทราบมติคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติปรับโรคโควิด-19 จากโรคติดต่ออันตราย เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งสธ.ต้องวางแผนบริหารจัดการโควิด-19 จนถึงเดือนธันวาคม ทั้งเรื่องการควบคุมโรค การดูแลรักษา วัคซีน และการประชาสัมพันธ์ โดยรูปแบบการรักษานั้น ต้องให้ยารักษาลงไปถึงระดับร้านขายยา เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงยาได้มากขึ้น โดยใช้ใบสั่งแพทย์ไปสั่งซื้อยา ส่วนการรักษานั้น ได้ทบทวนระยะเวลาการรักษา เพื่อผู้ติดเชื้อที่มีอาการถือเป็นผู้ป่วย จากที่ใช้อยู่ปัจจุบันคือ 7 วันและแยกกักตัวเพื่อสังเกตอาการ 3 วันหรือ 7+3 ที่ประชุมพิจารณาปรับแนวทางการรักษาใหม่ให้เป็น 5+5 คือ รักษาตัว 5 วัน แยกกักเพื่อสังเกตอาการ 5 วัน ซึ่งแนวทางนี้ใช้มาแล้ว ส่วนเรื่องยาโมลนูพิราเวียร์ จะเป็นยาหลักในการรักษา ซึ่งมีเพียงพอ
ปชช.เว้นระยะน้อยลงเสี่ยงติดเชื้อเพิ่ม
ด้านนพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ระบาดโควิด-19 ที่ทรงตัว และเชื้อมีโอกาสกลายพันธุ์ได้ สบส.สำรวจการเฝ้าระวังพฤติกรรมเสี่ยงโควิด โดยดำเนินการสำรวจเปรียบเทียบระหว่างวันที่ 5-31 มีนาคม 2565 จำนวน 113,847 คน และวันที่ 1-20 กรกฎาคม 2565 จำนวน 28,487 คน ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ โดยเปรียบเทียบการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล ผลสำรวจพบพฤติกรรมเสี่ยงติดโควิด-19 ที่กลับมาเพิ่มสูงขึ้นคือ พฤติกรรมไม่เว้นระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 1-2 เมตร มีพฤติกรรมเสี่ยงเพิ่ม ร้อยละ 4.27
มองการใส่แมสก์เป็นเรื่องสำคัญลดลง
“นอกจากนี้ ยังได้สำรวจความตระหนักรู้ต่อพฤติกรรมป้องกันติดเชื้อแบบครอบจักรวาล พบประเด็นที่ประชาชนตระหนักลดลงเสี่ยงโควิดคือ คิดว่าการสวมหน้ากากอนามัยเป็นเรื่องสำคัญ ความตระหนักลดลง ร้อยละ 11.06 จากผลการสำรวจสะท้อนคนไทยพบปะใกล้ชิดกันมากขึ้น ด้วยมาตรการที่ผ่อนคลาย ทำให้การระวังตัวในการเว้นระยะห่างลดลง และมีมาตรการผ่อนคลายการสวมหน้ากากอนามัย อย่างไรก็ยังต้องปฏิบัติตามมาตรการ Universal Prevention อย่างเคร่งครัดเช่นเดิม” นพ.ธเรศ กล่าว
เช็คบิลรพ.เอกชนเก็บรักษาโควิดเพิ่ม
ขณะที่นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารีย์ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงกรณีประชาชนถูกโรงพยาบาล (รพ.) เอกชน เรียกเก็บเงินค่ารักษาโควิดล่วงหน้าว่า หลายกรณีที่ สปสช.เคยรับเรื่องมาบางส่วน ได้รับการตอบกลับมีการคืนเงินส่วนนั้นแล้ว ขณะนี้ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบ โทรศัพท์ไปสอบถามผู้ป่วยทุกกรณี โดยเฉพาะ รพ.เอกชน ที่รับรักษาผู้ป่วยในระบบยูเซ็ปโควิด-19 (UCEP Covid)ว่า ผู้ป่วยถูกเรียกเก็บค่าใช้จ่ายหรือไม่ มีใบเสร็จหรือไม่ มีค่าอะไรบ้าง ขณะนี้โทรศัพท์ไปแล้วจำนวนหนึ่งยังไม่ครบ ในส่วนที่ตรวจสอบแล้วประมาณร้อยละ 30 พบว่า 1 ใน 3 แสดงใบเสร็จได้ชัดเจน ซึ่งตามหลักการจะไม่มีการเรียกเก็บเงินเพิ่มเติม แต่รพ.ก็อาจชี้แจงถึงกรณีผู้ป่วยต้องการอย่างอื่นเพิ่ม อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดอยู่ในกระบวนการตรวจสอบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเรียกคืนเงินให้ประชาชนที่มัดจำค่าใช้จ่ายไป จะได้เต็มจำนวนหรือถูกหักอย่างไร นพ.จเด็จกล่าวว่า สปสช.ยังไม่ทราบรายละเอียด แต่ต้องส่งข้อมูลให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ที่ดูแลหน่วยบริการ รพ.เอกชน ต้องตรวจสอบร่วมกัน แต่ต้องยอมรับว่า สปสช.ได้รับข้อมูลจากประชาชนที่ร้องเรียนเข้ามา จึงต้องรอผลตรวจสอบจากการโทรศัทพ์กลับไปสอบถาม แต่บางส่วนก็ติดปัญหา เพราะประชาชนก็กลัวจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือมิจฉาชีพ ส่วนหนึ่งก็ให้ความร่วมมือส่งใบเสร็จมา แต่หลายกรณีไม่สามารถติดต่อได้
ยันไม่มีเรียกเก็บค่ารักษาส่วนเกิน
“เราต้องโทรกลับหาผู้ป่วยทุกคนที่รับบริการจากเอกชน 100% ทั้งหมดเป็นแสนราย เพราะมีมติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้เราตรวจสอบการจ่าย ตามกติกาของยูเซ็ปโควิด-19 ที่ ครม.กำหนด คือ ราคาที่เห็นชอบ และต้องไม่เรียกเก็บเกินกว่าที่กำหนด ไม่ว่าจะเป็นรายการเดียวกัน หรือเก็บล่วงหน้า ต้องไม่มี เงินที่เราจ่ายให้รพ.เอกชนสำคัญที่สุด เราเตือนหลายครั้งแล้วว่า ต้องไม่มีการเรียกเก็บส่วนเกินจากผู้ป่วย ดังนั้น 1.ต้องคืนเงินให้ประชาชน 2.สปสช.ต้องเรียกเงินคืนในส่วนสปสช.ด้วย ตามมาตรฐานของมติ ครม.ที่สบส.เสนอการกำหนดราคาไปตามสภาวะฉุกเฉินวิกฤตที่มีกว่า 3,000 กว่ารายการ ทั้งนี้ หมายรวมถึง รพ.เอกชน นอกระบบด้วย เพราะตกลงรับราคาตามมติ ครม.แล้ว” นพ.จเด็จ กล่าว และว่า จะตรวจสอบผ่านสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) อีกทางด้วย
ฮึ่มรพ.คืนช้าต้องจ่ายค่าปรับดอกเบี้ย
นพ.จเด็จกล่าวด้วยว่า สปสช.จะเร่งสื่อสารให้ประชาชนทราบว่า หากมีการเรียกเก็บเงินจากหน่วยบริการกรณีโควิดต้องตามและส่งเรื่องเข้าไปที่สปสช. หลายคนได้รับเงินคืนแล้ว บางคนก็ตกหล่น ดังนั้น ขอให้ประชาชนส่งข้อมูลไปที่สายด่วน 1330 เรื่องนี้ละเลยไม่ได้ เพราะเป็นเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ กรณี รพ.จ่ายคืนล่าช้า ก็มีค่าปรับดอกเบี้ยให้ประชาชนด้วย อย่างไรก็ตาม หากประชาชนถูกเรียกเก็บเงินสามารถติดต่อรพ.นั้นๆก่อน หากถูกเพิกเฉยให้ติดต่อสายด่วน สปสช.1330 หรือไลน์ @nhso หรือสายด่วน สบส.1426 แนะนำว่า เมื่อรับสายพูดคุยแล้ว อาจกดวางสายก่อน แล้วติดต่อกลับไปที่ 1330 แต่ข้อสำคัญคือ อย่าเพิ่งให้ข้อมูลส่วนตัว ป้องกันเป็นแก็งมิจฉาชีพ แนะนำประชาชนแอดไลน์ สปสช. @nhso เพื่อสอบถามข้อมูล จะมีเจ้าหน้าที่คอยให้ข้อมูลอยู่
นายกฯปลื้มเครื่องตรวจโควิดฝีมือคนไทย
ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ชื่นชมความสำเร็จของทีมวิจัยไทย ประสาความสำเร็จในการคิดค้นเครื่องตรวจคัดกรองผู้ป่วยโควิด วิเคราะห์จากลมหายใจ โดยได้รับสนับสนุนทุนวิจัยจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งทีมวิจัยนำความรู้จากเครื่องตรวจระดับน้ำตาลในกระแสเลือด โดยใช้ลมหายใจ ซึ่งใช้งานกับโรคเบาหวานมาพัฒนาต่อยอดสร้างเป็นนวัตกรรมรูปแบบใหม่ ตรวจคัดกรองโควิด รู้ผลเร็วใน 5 นาที ที่สำคัญให้ความแม่นยำสูงถึง 97% ถือเป็นเรื่องที่ดีต่อระบบสาธารณสุขและประชาชน ช่วยลดขั้นตอน ลดสัมผัสร่างกาย ลดระยะเวลาเพิ่มความปลอดภัยให้บุคลากรทางการแพทย์ด้วย ทั้งนี้ นายกฯยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญและพร้อมสนับสนุนงานวิจัย เพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมแพทย์ของไทยเติบโตพัฒนาต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี