โขน เป็นศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทยที่หลอมรวมศิลปะของชาติหลากหลายแขนง นับแต่วรรณกรรม วรรณศิลป์ นาฏศิลป์ คีตศิลป์ หัตถศิลป์ และพัสตราภรณ์อันงดงามตามแบบฉบับโบราณ รวมถึงการจัดฉากและแสง เสียง ที่ยิ่งใหญ่ ตลอดจนการฝึกซ้อมเพื่อความพร้อมของการแสดง
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์โขนเสมอมา ทรงให้มีงานแสดงโขนในงานเลี้ยงรับรองพระราชอาคันตุกะเสมอ หรือเมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปต่างประเทศ มักจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำการแสดงโขนไปสู่สายตาชาวโลก ซึ่งสร้างความประทับใจแก่ผู้ชมอย่างยิ่ง ต่อมาทรงสังเกตเห็นว่าพัฒนาการของเครื่องแต่งกายโขน และการแต่งหน้าโขนที่ถูกลดทอนทางด้านสุนทรียะ ประกอบกับต่อมามีคนชมการแสดงโขนน้อยลงจึงทรงมีพระราชปรารภที่จะฟื้นฟูและทำนุบำรุงการแสดงโขนให้กลับมาสู่ความนิยมอีกครั้ง โดยทรงกำชับให้ยึดถือรูปแบบเครื่องแต่งกายโขนแบบโบราณ แต่มีความคงทนและสวยงามยิ่งขึ้น โดยมูลนิธิ ส่งเสริมศูนย์ศิลปาชีพฯ รับพระราชเสาวนีย์ที่จะเข้ามาอนุรักษ์โขนและเครื่องแต่งกาย นับเป็นจุดเริ่มต้นของการแสดงโขนของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ
การจัดแสดงโขนอย่างต่อเนื่อง ในระยะแรกเรียกว่า โขนพระราชทาน ต่อมาใช้คำว่า โขนของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ หรือโขนศิลปาชีพจัดแสดงสู่สายตาประชาชนครั้งแรกในปี 2550 คือชุดศึกพรหมาศ ปี 2552 ชุดนางลอยจัดแสดงปี 2553 ชุดศึกมัยราพณ์ จัดแสดงปี 2554 ชุด จองถนน จัดแสดงปี 2555 และชุดศึกกุมภกรรณ ตอน โมกขศักดิ์ จัดแสดงปี 2556 ชุดศึกอินทรชิต ตอนนาคบาศ พ.ศ.2557 ชุดศึกอินทรชิตในปี 2558 ตอนพิเภกสวามิภักดิ์ ปี 2561 และตอนสืบมรรคาในปี 2562 การแสดงทุกชุด ทุกรอบ ได้รับความสนใจจากผู้ชมจำนวนมาก ทุกระดับอายุ จนต้องเพิ่มรอบการแสดงทุกครั้งโดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้มีการศึกษารูปแบบเครื่องแต่งกายโขน ละครแบบโบราณ รวมไปถึงการรื้อฟื้นงานประณีตศิลป์ ของไทยที่กำลังขาดผู้สืบทอดให้กลับมาได้รับการฝึกหัดถ่ายทอดให้กับนักเรียนของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ
การจัดสร้างชุดโขนแบบโบราณ ได้แก่ พัสตราภรณ์ให้ยึดแบบโบราณ ปรับขนาดให้เหมาะสม ฟื้นฟูการปักผ้าโดยใช้เทคนิคโบราณที่ใกล้สูญหาย เช่น การปักแบบหักดิ้นข้อถมโปร่ง การปักหักทองแล่ง ฯลฯ ผ้านุ่งมีการฟื้นฟูภูมิปัญญาการทอผ้ายกทองโบราณเมืองนครศรีธรรมราชกลับมาทอขึ้นอีกครั้ง การจัดสร้างเครื่องถนิมพิมพาภรณ์หล่อมาจากเงินด้วยเทคนิคสมัยใหม่ให้มีความงดงามและใกล้เคียงกับถนิมพิมพาภรณ์โบราณที่สร้างจากวัสดุมีค่า หัวโขนผสมผสานเทคนิคโบราณกับแนวทางการใช้วัสดุสมัยใหม่ทดแทนวัสดุโบราณที่หายาก การเขียนหน้าโขนให้มีการออกแบบการลงสีให้ใกล้เคียงสีโบราณ เครื่องศิราภรณ์ประยุกต์ใช้วัสดุสมัยใหม่มาใช้ทดแทนวัสดุโบราณ เป็นต้น
วิธีการแต่งหน้าโขน ทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้ปรับปรุงวิธีการแต่งหน้าโขนขึ้นมาใหม่เพื่อเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวโขนโดยยึดหลักการปรับปรุงการแต่งหน้า 3 ประการคือ เป็นการแต่งหน้าที่มีเอกลักษณ์ของโขน เป็นการแต่งหน้าที่ต้องงามเท่าหัวโขน และต้องเกิดความงามทั้งมองระยะไกลและระยะใกล้ เรียกรูปแบบการแต่งหน้าแนวใหม่นี้ว่า “แนวพระราชนิยม”ยึดหลักจากจิตรกรรมไทย คือแต่งหน้าให้ได้ตามรูปแบบในอุดมคติแบบไทยที่จะต้องมีรูปหน้าไข่ มีระยะคิ้ว ปาก ตา ที่เหมาะสม นอกจากนั้นยังจะต้องคำนึงถึงเรื่องสีของเครื่องสำอางโครงเส้น ขนาดเวที และลักษณะเครื่องแต่งกายด้วย มีการกำหนดโครงสร้างของสีหลักในการแต่งหน้า ได้เป็น 3 สีหลัก คือ สีขาว สีดำและสีแดง รวมถึงการวาดคิ้วขึ้นมาใหม่เพื่อให้มีลักษณะ รูปคิ้วโก่งเป็นคันศรตามอุดมคติแบบไทย เป็นต้น
พระราชดำริที่สำคัญอีกประการคือ การส่งเสริมให้เยาวชนรุ่นใหม่สืบทอดการแสดงโขนอย่างถูกต้องและงดงาม โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ผู้เชี่ยวชาญการแสดงโขนถ่ายทอดวิชาอย่างสุดฝีมือ เพื่อทำให้เยาวชนเข้าถึงจิตวิญญาณของโขนอย่างถ่องแท้ และเป็นที่น่ายินดีที่เยาวชนสนใจเข้ารับการคัดเลือกและฝึกอบรมจำนวนมาก ทำให้มั่นใจได้ว่าโขนไทยยังคงเป็นศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทยสืบไปตามพระราชปณิธาน
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงสนับสนุนและส่งเสริมการแสดงโขนเสมอมา ทำให้องค์การ UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนโขนไทยเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ เมื่อเดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช 2561
ชนิตร ภู่กาญจน์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี