ศาลฎีกาพิพากษากลับ สั่ง หมอ-รพ.เเพทย์รังสิต ชดใช้เงิน1.55 ล้านพร้อมดอกเบี้ย ให้ครอบครัว บุตร คนตาย หมอฉีดยาแก้ปวดขาให้ เเต่เเพ้ยาจนตายเมื่อปี60 ศาลชี้เป็นการกระทำประมาทเลินเล่อ เเม่เหยื่อร่ำไห้กราบขอบคุณศาลฎีกาที่เมตตา ทนายชี้คำพิพากษาวางหลักสำคัญหลายประเด็นโดยเฉพาะการฉีดยารักษาเป็นดุลยพินิจของแพทย์ที่ตรวจรักษา
วันที่ 15 กันยายน 2565 ที่ศาลจังหวัดนนทบุรี ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ ผบ.78/2561 ที่นางอำพร กระตุดนาค ,นายชาตรี ศรีชนะ , ด.ช.ภาคิณ ศรีชนะ เป็นโจทก์ที่ 1-3 ยื่นฟ้อง สำนักงานประกันสังคม ,บริษัทปทุมรักษ์ จํากัด,พญ.จุฑามาศ หาญณรงค์ เป็นจำเลย1-3 ในความผิดฐานละเมิด
โจทก์ทั้งสามระบุฟ้องว่า โจทก์ที่1-3 เป็นมารดา สามี และบุตร ของ น.ส.วนิดา ทองเวียน ผู้ตาย จำเลยที่ 1 เป็นหน่วยงานของรัฐและ เป็นผู้จัดหาสถานพยาบาลให้ผู้ใช้สิทธิประกันสังคมใช้บริการ จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคล ตามกฎหมาย ประกอบธุรกิจให้บริการสถานพยาบาลชื่อโรงพยาบาลแพทย์รังสิต และ ให้บริการผู้ใช้สิทธิประกันสังคมภายใต้การควบคุมคุณภาพของจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นแพทย์รพ.แพทย์รังสิต ผู้ตายใช้สิทธิประกันสังคมรักษาโรคหอบหืดซึ่งเป็นโรคประจำตัวและอาการเจ็บป่วยอื่น ๆที่รพ.แพทย์รังสิตเรื่อยมา
เมื่อวันที่ 23 ก.ค.60 ผู้ตายเข้ารับการรักษากับจำเลยที่2 ด้วยอาการปวดขา จำเลยที่ 3วินิจฉัยว่าเป็นโรคเส้นเอ็นอักเสบ จึงสั่งยาฉีดไดโคลฟีแนค ให้ผู้ตาย พร้อมทั้งให้ยานอร์จีสิก, บรูเฟน และทรามอล ไปรับประทาน ซึ่งผู้ตายได้รับการฉีดยาเวลา18.16 น.แล้วรับยาอื่นและออกจากโรงพยาบาลเวลา18.30 น. เมื่อกลับถึงบ้านยังไม่ถึง30นาทีช และยังไม่ได้รับประทานยา ผู้ตายก็มีอาการขาอ่อนแรง หายใจไม่ออก และแน่นหน้าอกจนหมดสติไป พี่สาวผู้ตายนำผู้ตายส่งโรงพยาบาลประชาธิปัตย์ที่อยู่ใกล้บ้านเมื่อเวลา 19.30 น.ผู้ตายความดันโลหิตตก อาการโคม่า ไม่หายใจ ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ สมองเสียหาย ม่านตา สองข้างขยาย ไม่ตอบสนองต่อแสง ต่อมาถูกนำส่งรพ.แพทย์รังสิต จำเลยทร่ 2 และเข้ารักษาในห้องไอซียูโดยใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา ผลการเอกซเรย์ สมองเมื่อวันที่ 26 ก.ค.60 พบว่าสมองบวม ก้านสมองตาย และเสียชีวิต ในวันที่ 12 ส.ค.60
การกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นการรักษาโรคด้วย ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นแพทย์ผู้รักษาโรคจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และจำเลยที่ 3อาจใช้ความระมัดระวัง เช่นว่านั้น แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ จนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย กล่าวคือ จำเลยที่ 3 สั่งฉีดยาไดโคลฟีแนคซึ่งเป็นยาที่ไม่ควรใช้ในคนไข้โรคหอบหืดให้แก่ผู้ตาย ที่มีโรคประจำตัวเป็นหอบหืด และไม่ได้สั่งให้เฝ้าดูอาการที่อาจเกิดขึ้นได้หลังฉีดยา เช่น อาการแพ้ยา หลอดลมตีบ หายใจไม่ออก ความดันโลหิตตก ซึ่งปกติต้องเฝ้าดูผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดเป็นเวลา 15 นาที และให้ผู้ป่วยนั่งคอยอีก 15 นาที จึงให้กลับออกจากโรงพยาบาล เป็นเหตุให้ผู้ตายแพ้ยารุนแรง หลอดลมตีบ หายใจไม่ออก จนเสียชีวิต จำเลยที่ 3 จึงกระทำละเมิดและต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสาม โดย จำเลยที่ 1,2ต้องร่วมรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วม ก่อนถึงแก่ความตายผู้ตายอายุ 27 ปีเป็นลูกจ้างบริษัทฝาจีบ จำกัด มีรายได้เดือนละ 1.5 หมื่นบาท ผู้ตาย มีโอกาส ทำงานอีก 33 ปี คิดเป็นเงิน 5940,000 บาท ผู้ตายเคยให้เงินแก่โจทก์ที่ 1 ตามหน้าที่ บุตรเดือนละ 8พันบาท ซึ่งโจทก์ที่ 1 ต้องขาดไร้อุปการะเป็นเวลา 33 ปี คิดเป็นเงิน 3,168,000 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นสามี และโจทก์ที่ 3 เป็นบุตรของผู้ตายต้อง ขาดไร้อุปการะ เฉลี่ยคนละวันละ 300 บาท เป็นเงินเดือนละ 9 พันบาท จนถึง โจทก์ที่ 2มีอายุ 60 ปี เป็นเวลา 34ปี คิดเป็นเงิน 3,672,000 บาท และ จนโจทก์ที่3บรรลุนิติภาวะเป็นเวลา 20 ปี คิดเป็นเงิน 2,160,000 บาท ค่าปลงศพ และค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นในการจัดพิธีศพผู้ตาย 2 เเสนบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 15,140,000 บาท
ระหว่างพิจารณาโจทก์ทั้ง3 รายยื่นขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลอนุญาตคดีนี่ศาลชั้นต้นเเละศาลอุทธรณ์เเผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์ทั้งสาม จึงยื่นฎีกา วันนี้โจทก์ทั้งสามผู้รับมอบอำนาจจำเลยมาศาลพร้อมทนายความ
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือเเล้วเห็นว่า ทางนำสืบของจำเลยที่2-3 ไม่ปรากฏว่านอกจากยากลุ่มเอ็นเสดแล้ว ไม่มียาอื่นที่จะนำมาใช้รักษาอาการปวดของผู้ตายได้ อีกทั้งจำเลยที่ 3 ก็ยอมรับว่าอาการปวดของผู้ตายไม่มากถึงขนาดจำเป็นต้องฉีดยา จำเลยที่3 จึงสมควรคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ตายโดยหลีกเลี่ยงการให้ยาไดโคลฟีแนคแบบฉีดเข้า กล้ามเนื้อ หากจำเป็นต้องให้ยาดังกล่าวโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ก็ควรต้องให้ด้วยความระมัดระวัง เป็นพิเศษ แต่ได้ความจากจำเลยที่ 3 ว่า ผู้ตายไม่ได้มีอาการปวดรุนแรง จึงไม่ได้ติดตาม อาการหลังฉีดยาแสดงว่า จำเลยที่ 3 สั่งยาไดโคลฟีแนคแบบฉีดเข้ากล้ามเนื้อให้แก่ผู้ตาย โดยไม่ได้สั่งให้มีการเฝ้าระวังอาการอันไม่พึงประสงค์หลังฉีดยา ที่พยานจำเลยซึ่งเป็นพยาบาลผู้ฉีดยาให้แก่ผู้ตายเบิกความว่า หลังจาก ฉีดยาเสร็จพยานให้ผู้ตายนอนพักที่เตียงเพื่อสังเกตอาการประมาณ 10 นาที จากนั้น ได้สอบถามอาการจากผู้ตายทราบว่าอาการดีขึ้นและผู้ตายได้เดินออกไปรับยาที่ห้องจ่ายยา นั้น ปรากฏจากสำเนาบทความตอบปัญหาเรื่องยาโดยเภสัชกรหน่วยคลังข้อมูลยาว่า การฉีดยาไดโคลฟีแนคเข้ากล้ามเนื้อยาจะออกฤทธิ์ภายใน 10-22 นาที สอดคล้อง กับที่จำเลยที่ 3 เบิกความตอบทนายโจทก์ทั้งสามถามค้านว่า ยาที่ฉีดให้ผู้ตายจะออกฤทธิ์ ประมาณ 10-30นาที ดังนั้น แม้จะฟังว่าพยาบาลผู้ฉีดยาได้เฝ้าระวังอาการหลังฉีดยา ของผู้ตายจริงก็เป็นการใช้เวลาในการเฝ้าระวังไม่เพียงพอต่อการประเมินอาการอันไม่พึงประสงค์ ที่จะเกิดจากยาฉีดยา พยานหลักฐานจำเลยที่2-3ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า การที่จำเลยที่ 3 ให้การรักษาผู้ตายซึ่งมีอาการหอบหืดด้วยยาไดโคลฟีแนคแบบฉีดเข้ากล้ามเนื้อ และไม่ได้สั่งให้เฝ้าระวังอาการอันไม่พึงประสงค์ที่จะเกิดขึ้นหลังฉีดยาเป็นการให้การรักษาที่ เป็นไปตามมาตรฐานการประกอบวิชาชีพเวชกรรมภายใต้ความสามารถและข้อจำกัดตามภาวะ วิสัย และพฤติการณ์ที่มีอยู่ในสถานการณ์นั้น
ที่จำเลยที่ 3 อ้างว่า หลังผู้ตายเสียชีวิต จำเลยที่ 3ได้ชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปยังแพทยสภาแล้ว แต่ไม่เคยถูกเรียกไปสอบสวนและไม่เคยถูกลงโทษ นั้น เห็นว่าเเม้คณะกรรมการแพทยสภาพิจารณาแล้วมีความเห็นว่า จำเลยที่ 3 มิได้ประพฤติผิดข้อบังคับแพทยสภาฯตามความเห็นของคณะอนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวช กรรม ชุดที่ 7ซึ่งเห็นสอดคล้องกับราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทยที่มีความเห็นว่า จำเลยที่ 3 ให้การรักษาผู้ตายด้วยยาไดโคลฟีแนคแบบฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นยาเดิมที่ผู้ตายเคยได้รับ และเฝ้าสังเกตอาการเบื้องต้นไม่มีภาวะแทรกซ้อนจึงให้กลับบ้าน เป็นการให้การรักษา ถูกต้องเหมาะสมตามภาวะ วิสัย และพฤติการณ์ในขณะนั้นแล้ว แต่ไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติ ให้มติของคณะกรรมการแพทยสภามีผลผูกพันศาลในการวินิจฉัยคดี มติของคณะกรรมการ แพทยสภาเป็นเพียงพยานหลักฐานอย่างหนึ่ง
ทั้งนี้หากมติดังกล่าวได้มีการพิจารณากันอย่าง รอบด้านจากข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนและมีมติตามความเห็นที่สมเหตุสมผลย่อมเป็น พยานหลักฐานที่มีน้ำหนักให้ศาลรับฟังประกอบการวินิจฉัย แต่มติของคณะกรรมการ แพทยสภาที่ส่งมายังศาลชั้นต้นในคดีนี้ไม่มีรายละเอียดพอที่จะพิจารณาว่าเป็นไปดังที่ได้กล่าว มาหรือไม่ เพียงใด จึงไม่มีน้ำหนักให้นำมารับฟัง
เมื่อจำเลยที่ 2-3ซึ่งเป็นฝ่าย ที่มีภาระการพิสูจน์ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าการให้การรักษาผู้ตายของจำเลยที่ 3 เป็นไปตาม มาตรฐานการประกอบวิชาชีพเวชกรรมดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้ว กรณีต้องถือว่าจำเลยที่ 3 กระทำโดยประมาทเลินเล่อ อันเป็นการละเมิดต่อผู้ตาย จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แก่โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นทายาทของผู้ตาย
การที่จำเลยที่ 3อ้างว่า สั่งให้ฉีดยาไดโคลฟีแนค แก่ผู้ตายเพราะผู้ตายยืนยันให้ฉีดยา นั้นเห็นว่า ผู้ป่วยทั่วไปรวมทั้งผู้ตายซึ่งไม่มีความรู้ ทางการแพทย์ย่อมไม่อาจทราบถึงอาการอันไม่พึงประสงค์ที่จะเกิดจากการใช้ยา การจะให้ การรักษาด้วยยาชนิดใดและวิธีการอย่างไรย่อมเป็นดุลพินิจของแพทย์ผู้ตรวจรักษาที่ต้องคำนึง ถึงมาตรฐานการรักษาเป็นสำคัญ หาจำต้องทำตามความต้องการของผู้ป่วยเสมอไปไม่ จำเลยที่ 3จึงไม่อาจยกเหตุที่สั่งฉีดยาตามคำยืนยันของผู้ตายมาอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดได้
ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นผู้ประกอบกิจการรพ.แพทย์รังสิต การที่จำเลยที่ 3 มานั่ง ตรวจรักษาผู้ป่วยที่รพ.แพทย์รังสิตแม้จะมาเป็นครั้งคราวและได้รับค่าจ้างจาก จำเลยที่ 2เป็นรายชั่วโมง แต่เป็นการตรวจรักษาผู้ป่วยในนามของรพ.แพทย์รังสิต ต้องถือว่าจำเลยที่ 3เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2ในการตรวจรักษาผู้ตาย จำเลยที่ 2ในฐานะตัวการจึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นตัวแทน ของตนได้กระทำไปในการตรวจรักษาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 427ประกอบมาตรา 425
ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสามสำหรับ จำเลยที่ 2,3 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสามฟังขึ้น พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 2และ 3 ร่วมกันชำระค่าปลงศพ 5 หมื่นบาท แก่โจทก์ทั้ง3ราย ค่าขาดไร้อุปการะ 5 เเสน บาท แก่โจทก์ที่ 1 ค่าขาดไร้อุปการะ 3เเสนบาท แก่โจทก์ที่ 2 และค่าขาดไร้อุปการะ 7 เเสนบาท แก่โจทก์ที่ 3 รวม 1.55 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนนับถัดจากวันฟ้องวันที่ 17 ม.ค.61 ถึงวันที่ 10 เม.ย.64 และอัตรา ร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เม.ย.64 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสาม
ภายหลังนางอำพร กระตุดนาค กล่าวทั้งน้ำตาและขอบคุณศาลฎีกาว่าได้เมตตา และมีคำพิพากษากลับให้ตนชนะคดี ตนได้พยายามขอความช่วยเหลือทั้งจากสภาทนายความ หน่วยงานของรัฐมาโดยตลอดหลายปี ตนเหนื่อย ท้อแท้และยากลำบากอย่างมากในการต่อสู้คดีแพทย์ มีกำลังใจต่อสู้มาตลอดก็เพราะเป็นห่วงอนาคตหลาน ตนก็ทำงานหาเช้ากินค่ำไปวันๆ และมาเจอในสถานการณ์โรคระบาดอีก ขอบคุณศาลฎีกาจริงๆ
นายภิญโญภัทร์ ชิดตะวัน ทนายความ กล่าวว่าต้องขอบคุณศาลฎีกาที่เมตตาเช่นกัน และศาลฎีกาได้วางหลักสำคัญไว้หลายประเด็นโดยเฉพาะเรื่องการฉีดยารักษาย่อมเป็นดุลยพินิจของแพทย์ เป็นการจบข้อถกเถียงเพราะศาลฎีกาตัดสินแล้ว และได้เป็นแนวทางการวินิจฉัยที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมในยุคที่ประชาชนต้องระมัดระวังยิ่งขึ้นในสถานการณ์แพร่ระบาดโรคต่างๆ และแพทย์จะได้กรุณาระวังมากยิ่งขึ้นด้วย ส่วนความยากลำบากของการต่อสู้คดีแพทย์นั้น ตนเห็นว่าเป็นปัญหาที่มีมานาน ตนเห็นใจทุกฝ่าย แต่เพราะความสูญเสีย เสียหาย หรือความพิการ จะตกอยู่กับฝ่ายผู้เสียหายทางแพทย์มาโดยตลอด กว่าจะได้เยียวยาก็เนิ่นนาน ตนเป็นทนายพยายามสู้จนอุทธรณ์ฎีกา สู้ตั้งแต่อุ้มลูกผู้ตายมาศาล จนลูกผู้ตายวิ่งได้แล้ว มันเป็นหน้าที่ และต้องขอบคุณทางประกันสังคมด้วยที่ได้เยียวยาเบื้องต้นโจทก์ในคดีนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี