ประเทศไทย แม้จะได้ชื่อว่าอุดมสมบูรณ์ ไปด้วยทรัพยากรน้ำ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า จนถึงทุกวันนี้ เรายังไม่สามารถใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำที่มีอยู่ได้อย่างเต็มศักยภาพ จึงทำให้หลายพื้นที่ยังคงตกอยู่ภายใต้ปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งซ้ำซากมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยเฉพาะในพื้นที่นอกเขตชลประทานซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยเน้นผลสัมฤทธิ์ที่จับต้องได้จริง อาศัยอำนาจตามกฎหมายหลายฉบับ บูรณาการการทำงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การบริหารทรัพยากรน้ำเป็นระบบในทุกมิติ
แต่การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ผ่านมา ยังมีช่องโหว่เรื่องของการขาดเจ้าภาพหลักที่จะเข้าดูแลการพัฒนาแหล่งน้ำ และวางเป้าหมายการพัฒนาในระดับพื้นที่ที่ชัดเจน การทำงานของแต่ละหน่วยงานยังขาดเอกภาพ การดำเนินงานบางกิจกรรม ยังขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน บางครั้งจึงส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นนั้นๆ ดังนั้น ตัวแปรสำคัญที่จะทำให้การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเกิดประสิทธิภาพคือการสร้างกลไกการพัฒนาแหล่งน้ำที่ผ่านการขับเคลื่อนของภาคประชาชนภายใต้ “คณะกรรมการลุ่มน้ำ” เพื่อร่วมกันจัดทำแผนพัฒนาทรัพยากรน้ำในเขตลุ่มน้ำของตนเองให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งปัจจุบันเรามีคณะกรรมการลุ่มน้ำตามข้อกำหนดของพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ครบทั้ง 22 ลุ่มน้ำแล้ว ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา
โดยคณะกรรมการลุ่มน้ำในแต่ละพื้นที่ จะประกอบด้วยผู้แทนหลายภาคส่วน อาทิ ผู้ว่าราชการจังหวัดในเขตลุ่มน้ำนั้นๆ ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจากจังหวัดต่างๆ ในเขตลุ่มน้ำ จังหวัดละ 1 คนผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรน้ำ จำนวน 4 คน และองค์กรผู้ใช้น้ำ ทั้งภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม และภาคพาณิชยกรรม ภาคละ3 คน ซึ่งทั้งหมดนี้ จะเป็นกลไกลสำคัญในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในระดับลุ่มน้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ตั้งแต่การจัดทำแผนแม่บท การบำรุงรักษา ฟื้นฟู อนุรักษ์ทรัพยากรน้ำในเขตลุ่มน้ำ รวมถึงร่วมกันจัดทำแผนป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม จัดสรรน้ำ และจัดลำดับความสำคัญในการใช้น้ำ ตลอดจนการไกล่เกลี่ยและชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างผู้ใช้น้ำ การส่งเสริมและรณรงค์สร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำให้แก่ประชาชนในเขตลุ่มน้ำ เป็นต้น
นับจากนี้ไป คณะกรรมการลุ่มน้ำ จะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการมีส่วนช่วยในการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศครอบคลุมทุกมิติ บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคประชาชนผู้มีส่วนได้เสียในการใช้ทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำนั้นๆ ที่จะได้มีโอกาสเข้ามามีบทบาทให้การแก้ปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม ได้ตรงความต้องการของชาวบ้านได้มากขึ้นซึ่งจะพลิกโฉมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและการแก้ปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม ได้ตรงจุด รวดเร็วกว่าในอดีต
ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบัน สทนช.ได้รับจดทะเบียนเพื่อจัดตั้งองค์กรผู้ใช้น้ำให้แก่ภาคประชาชน โดยแบ่งเป็น 3 ภาค ได้แก่ ภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม และภาคพาณิชยกรรมตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2564 เป็นต้นมาซึ่งปัจจุบันมีองค์กรผู้ใช้น้ำที่ได้รับการพิจารณาอนุมัติแล้ว 3,389 องค์กร (ข้อมูล ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2565) ส่วนใหญ่เป็นภาคเกษตรกรรม ซึ่งมีจำนวน 2,864 องค์กร ภาคอุตสาหกรรม จำนวน 287 องค์กร และภาคพาณิชยกรรม จำนวน 238 องค์กร (ข้อมูล ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2565) ต่อจากนี้สทนช.จะขับเคลื่อนเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรผู้ใช้น้ำและคณะกรรมการลุ่มน้ำ ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามหน้าที่และอำนาจที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำอย่างเป็นรูปธรรม โดยได้มีการจัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบขึ้นมาเป็นการเฉพาะภายในองค์กร คือ กองส่งเสริมองค์ความรู้และความสัมพันธ์ระหว่างองค์กร เพื่อรับผิดชอบดำเนินการตามแนวทางที่กำหนด เช่น ส่งเสริม
สนับสนุน ประชาสัมพันธ์ และสร้างการมีส่วนร่วมในรูปแบบขององค์กรผู้ใช้น้ำ โดยสื่อสารสร้างความเข้าใจอย่างต่อเนื่องผ่านช่องทางที่หลากหลาย สร้างหลักสูตรในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่องค์กรผู้ใช้น้ำ เพื่อใช้เป็นหลักสูตรกลางให้แก่หน่วยงานต่างๆ ในการถ่ายทอดองค์ความรู้เสริมสร้างความเข้มแข็งขององค์กรผู้ใช้น้ำในพื้นที่ต่อไป รวมถึงการจัดทำหลักสูตรพัฒนา เสริมสร้างศักยภาพให้แก่คณะกรรมการลุ่มน้ำ ในการปฏิบัติงานตามหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย ได้แก่ การจัดทำแผนแม่บทในเขตลุ่มน้ำ การจัดทำแผนป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำแล้งน้ำท่วม ฯลฯ รวมถึงการรับเรื่องร้องทุกข์ ไกล่เกลี่ย และชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างผู้ใช้น้ำ เป็นต้น
การพลิกโฉมครั้งใหญ่ ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศครั้งนี้ ด้วยการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ได้รับประโยชน์ในแต่ละลุ่มน้ำ โดยมี คณะกรรมการลุ่มน้ำ ซึ่งเปรียบเสมือนโซ่ข้อกลางคอยช่วยประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ บนพื้นฐานตามความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นอย่างแท้จริง จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้งซ้ำซากในระดับพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงจุดเป็นที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี