สธ.เร่งออกประกาศ
คุมกิจกรรมกิจการ142ประเภท
ยึดพรบ.สาธารณสุขสกัดโควิด
ใส่แมสก์/ประเมินตัวเองยังจำเป็น
ป่วยรายวัน637-ตาย10-โคม่า482
นับถอยหลังโควิดไทยเข้าสู่โรคติดต่อเฝ้าระวัง ติดเชื้อรายวัน 637 ราย สะสม 4.68 ล้านคน โคม่า 482 คนตายเพิ่ม 10 ศพ ด้านกรมอนามัยเดินหน้าออกประกาศข้อปฏิบัติสำหรับสถานประกอบการ กิจการร้านค้าในพ.ร.บ.สาธารณสุข 142 ประเภท ยังต้องยึดแนวทางมาตรการ Thai Stop COVID 2Plus ต่อเนื่องโดยเฉพาะการใส่แมสก์
ล้างมือ เว้นระยะห่าง การจัดระบบระบายอากาศลดแออัด ย้ำเจ้าของกิจการยังต้องดูแลเข้มงวด ส่วนขนส่งสาธารณะ หรือในที่แออัด คนแน่น ยังต้องใส่แมสก์ตลอดเวลา รบ.เน้นปชช.เข้ารับวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์ สร้างภูมิคุ้มกันหมู่
เมื่อวันที่ 29กันยายน ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์ระบาดโควิด-19 ประจำวันว่า ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 637 ราย สะสม 4,680,470 ราย เสียชีวิตรายใหม่ 10 ราย สะสม 32,755 ราย อัตราเสียชีวิตเฉลี่ยย้อนหลัง 7 วันอยู่ที่ 1 รายต่อล้านประชากร ขณะที่ผู้ป่วยที่อยู่ในระบบการรักษา 6,365 ราย อาการรุนแรง 482 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 269 ราย อัตราครองเตียงระดับ 2-3 ร้อยละ 7.40 อัตราเฉลี่ย 14 วันย้อนหลัง ในผู้ป่วยรายใหม่ 652 ราย ผู้ป่วยปอดอักเสบ 482 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 269 ราย และเสียชีวิต 12 ราย ทั้งนี้ ผู้เสียชีวิต 10 รายนั้น เป็นเพศชาย 8 ราย หญิง 2 ราย เป็นผู้อายุ 60 ปีขึ้นไป 7 ราย ต่ำกว่า 60 ปี 3 ราย มีประวัติโรคเรื้อรัง เป็นโรคไต 2 ราย โรคอ้วน 4 ราย หลอดเลือดสมอง 1 ราย หัวใจ 1 ราย และติดเตียง 1 ราย
ความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิดในประเทศไทย สะสม 143,320,124 โดส ฉีดวันที่ 28 กันยายน เพิ่มขึ้น 17,237 โดส แบ่งเป็น เข็มที่ 1 ฉีด 2,405 โดส สะสม 57,325,632 โดส คิดเป็นร้อยละ 82.4 เข็มที่ 2 ฉีด 3,563 โดส สะสม 53,835,452 โดส คิดเป็นร้อยละ 77.4 และ เข็มที่ 3 ฉีด 11,269 โดส สะสม 31,159,040 โดส คิดเป็นร้อยละ 46.2
ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองอธิบดีกรมอนามัย แถลงมาตรฐานด้านสุขอนามัย สุขาภิบาลและอนามัยสิ่งแวดล้อม สำหรับสถานประกอบกิจการหลังโควิดเป็นโรคติดต่อต้องเฝ้าระวังว่า หลังวันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป ยังคงมีพ.ร.บ.โรคติดต่อฯและพ.ร.บ.การสาธารณสุข รวมถึงกฎหมายอื่นที่มีอยู่เดิมในการควบคุมสถานประกอบการต่างๆ โดยเฉพาะสถานที่จำหน่ายอาหารและ 142 ประเภทกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทั้งหมดจะผ่านการพิจารณาติดตามโดยเจ้าพนักงานท้องถิ่น สำหรับมาตรการ Thai Stop COVID 2Plus ของกรมอนามัยยังคงมีบางอย่างอาจผ่อนคลายตามสถานการณ์ และประกอบกับโควิดยังอาจเปลี่ยนแปลงได้ จึงยังต้องมี Thai Stop COVID 2Plus
สำหรับกิจการตามที่กำหนดในพ.ร.บ.การสาธารณสุข จะมี 142 ประเภท อยู่ในหมวด 7 ยกตัวอย่าง กิจการที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง กิจการที่เกี่ยวข้องกับอาหารและเครื่องดื่ม น้ำดื่ม กิจการเกี่ยวข้องกับยา เวชภัณฑ์ ที่สำคัญกิจการที่เกี่ยวกับการบริการ เช่น กิจการสปาเพื่อสุขภาพ อาบอบนวด กิจการโรงแรม หอพัก สระว่ายน้ำ กิจการที่จัดให้แสดงดนตรี เต้นรำ คาราโอเกะ ดิสโก้เทค กิจการที่ให้บริการดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน กิจการเลี้ยงดูแลเด็กที่บ้าน นอกจากนี้ ในหมวดที่ 8 ของพ.ร.บ. ยังมีเรื่องตลาด สถานที่จำหน่ายอาหารและสถานที่สะสมอาหาร เช่น ตลาด ร้านสะดวกซื้อ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารทั้งที่ไม่มีและมีจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งหมดเป็นตัวอย่างที่ยังต้องปฏิบัติตามพ.ร.บ.สาธารณสุข
นพ.เอกชัยกล่าวต่อว่า ส่วนมาตรฐานด้านสุขอนามัย สุขาภิบาล และอนามัยสิ่งแวดล้อมที่สถานประกอบกิจการควรปฏิบัติ และยังต้องดำเนินการต่อเนื่องคือ ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม การทำความสะอาดจุดสัมผัสร่วม การระบายอากาศภายใน จัดให้มีอุปกรณ์ล้างมือ ดังนั้น ร้านค้ายังต้องจัดเจลแอลกอฮอล์ ที่ล้างมือ ด้านพนักงาน/ผู้ปฏิบัติงานสิ่งที่เน้นคือ ในสถานประกอบการที่มีพนักงานจำนวนมาก ควรคัดกรองว่า มีอาการเจ็บป่วยหรือไม่ หากมีรายงานว่าเจ็บป่วยจำนวนมาก ก็ควรต้องปฏิบัติตามมาตรการโควิด และควรฉีดวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์ ขณะนี้เน้นเข็มที่ 3 เป็นเข็มกระตุ้น ที่สำคัญหากพนักงานพบว่าตัวเองเสี่ยง หรือมีอาการป่วยควรตรวจ ATK เราไม่ได้บังคับว่า ความเสี่ยงต่ำต้องตรวจหมด ตอนนี้ให้ดูว่าตัวเองเสี่ยงหรือไม่ เราต้องประเมินความเสี่ยงตัวเองก่อนเข้าทำงาน ผ่านแอปฯ Thai Save Thai
ทั้งนี้ คำแนะนำสำหรับประชาชนที่เข้ารับบริการ หากมีอาการเจ็บป่วย โดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ควรรักษาตัวในที่พัก แต่หากจำเป็นต้องออกมาขอย้ำมาตรการสูงสุดคือ สวมหน้ากากอนามัย อย่าไปอยู่ในสถานที่แออัด ขณะที่ประชาชนทั่วไปหากต้องเข้าไปในสถานที่ผู้คนแออัด หรือพื้นที่ปิด อากาศไม่ถ่ายเท ก็ควรสวมหน้ากากอนามัย กรณีหากอยู่ในรถสาธารณะ รถไฟใต้ดิน รถไฟฟ้า หากเว้นระยะห่างได้แนะนำ หากทำไม่ได้ก็ควรสวมหน้ากากอนามัย ซึ่งบนเครื่องบินขณะนี้ยังให้สวมหน้ากากอนามัยอยู่ และควรล้างมือบ่อยๆต่อเนื่อง ดังนั้น ขอย้ำว่า ประชาชนควรฉีดวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์ และถ้าต้องเข้าร่วมกิจกรรมในสถานที่ระบบอากาศปิดหรือที่แออัด ให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา
นพ.เอกชัยยังกล่าวถึงผลสำรวจของกรมอนามัยโพล เกี่ยวกับมาตรการที่ควรทำต่อไป แม้โควิดจะเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง สำรวจช่วงเดือนมกราคม-กันยายน 274,400 คน พบว่า อันดับ 1 เห็นว่ายังต้องเฝ้าระวัง และต้องปฏิบัติตามมาตรการ DMH ต่อเนื่องคือ สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง อันดับ 2 จัดให้มีจุดล้างมือ หรือเจลล้างมือ และระบบระบายอากาศที่ดี และอันดับ 3 ทำความสะอาด และจัดการด้านสุขาภิบาลของสถานที่
สำหรับที่มีคำถามว่า หลังวันที่ 1 ตุลาคม จะใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิมได้หรือไม่ นพ.เอกชัยชี้แจงว่า ขณะนี้สถานการณ์จากวันนั้นถึงวันนี้เกิดยุคที่เรียกว่า นิวนอร์มอล (New Normal) การสวมหน้ากากอนามัย ถือเป็นสุขอนามัยที่ดี เพราะนอกจากป้องกันโรคทางเดินหายใจแล้ว ยังป้องกันมลพิษ ฝุ่นละออง หลายคนอาการโรคภูมิแพ้จากฝุ่นละอองก็ดีขึ้น ดังนั้น จะเหมือนเดิมหรือไม่ก็อาจไม่ เพราะการเฝ้าระวังสุขภาพของประชาชนดีขึ้น
“กรมอนามัยยังเน้นย้ำ โดยเฉพาะผู้ประกอบอาหารต้องปฏิบัติมาตรการป้องกันโควิดระบาดอย่างเคร่งครัด ทั้งล้างมือก่อนหรือหลังเข้าห้องน้ำ มีถุงมือหยิบจับอาหาร มีผ้ากันเปื้อน สวมหมวกและหน้ากากอนามัยสำคัญมาก ต้องป้องกันไม่ให้สิ่งต่างๆ ในตัวแม่ครัวปนเปื้อนกับอาหารได้ และขอให้เจ้าของร้านอาหารควบคุมดูแลเรื่องนี้ ในส่วนผู้ปรุงอาหารที่บ้านควรปฏิบัติเช่นกัน เพื่อความปลอดภัยความสะอาด ถูกสุขอนามัยด้วย”นพ.เอกชัยกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากพนักงานเสิร์ฟ ไม่ใส่หน้ากาก โดยระบุว่าไม่บังคับแล้ว นพ.เอกชัย กล่าวว่า อาจอ้างได้ แต่หากมีการร้องเรียนเข้ามา หรือเกิดการระบาดขึ้นจะถือว่ามีความผิด ดังนั้น ผู้ประกอบการอาจต้องกำกับตรงนี้ คงพิจารณาตามความเหมาะสมว่าหากเป็นร้านเปิดโล่ง อาจไม่ใส่ หากเป็นห้องแอร์ไม่ใส่อาจจะอันตราย อย่างไรก็ตาม จะต้องออกเป็นประกาศรองรับชีวิตวิถีใหม่หรือไม่นั้น กรมฯกำลังหารือกัน แล้ว สธ.จะประกาศข้อกำหนดให้สถานประกอบการปฏิบัติตาม และกรมอนามัยจะออกคำแนะนำประกอบประกาศ สธ.เพิ่มเติม คงไม่เหมือนเดิมที่จะให้ทำอิสรเสรี ส่วนกลไกกำกับติดตามยังมีทีมเจ้าหน้าที่ สธ. และท้องถิ่นรวมมือกัน ทั้งนี้ พยายามทำประกาศให้ทันวันที่ 1 ตุลาคมหรืออย่างช้า สัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม
นพ.เอกชัยยังชี้แจงต่อถึงการย้ำเรื่องการใส่หน้ากากอนามัยต่อไปว่า เพราะเรายังมองโควิดมีโอกาสระบาดเป็นกลุ่มก้อนเล็กๆ คล้ายไข้หวัดใหญ่ ระบาดเป็นระลอก การสวมหน้ากากอนามัยช่วยลดตรงนี้ได้ เข้าใจว่ามีการเปรียบเทียบกับประเทศที่เลิกสวมหน้ากากแล้วหลายประเทศ แต่ก็อยากให้เปรียบเทียบกับประเทศอื่นที่ยังสวมหน้ากากด้วย เช่น ญี่ปุ่น ที่สวมหน้ากากอนามัยมานานก่อนโควิด
“ส่วนที่ผมแถลงไม่ได้บอกว่า ทุกคนที่ปกติต้องใส่หน้ากากกันหมด หากเป็นคนปกติ สุขภาพดีเมื่อออกมาอยู่ในพื้นที่อากาศปลอดโปร่งก็ไม่จำเป็นต้องใส่ แต่หากเป็นกลุ่ม 608 สุขภาพไม่ดี มีความเสี่ยงยังแนะนำหากไปอยู่ที่แออัดต้องใส่เลย วันนี้ประเทศไทยไม่ได้บังคับแล้ว แต่ล่าสุดจากการสำรวจอนามัยโพลครั้งล่าสุด ก็ยังต้องการใส่หน้ากากกว่า 80 % เทียบกับเดือนกันยายน-สิงหาคม ลดลงเพียง 1%” นพ.เอกชัยระบุ
ขณะที่รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ถึงสถานการณ์ระบาดโควิดประจำวันที่ 29 กันยายนตอนหนึ่งถึงความคืบหน้าการติดตามสายพันธุ์โควิด -19 ว่า องค์การอนามัยโลกออกรายงาน WHO Weekly Epidemiological Update รอบสัปดาห์ที่ผ่านมา พบโอมิครอนนั้นครองการระบาด 99.9% ทั้งนี้ สายพันธุ์ย่อยโอมิครอนที่ระบาดมากสุด ยังคงเป็น BA.5 จำนวน 81.2% ขณะที่ BA.4 รวมถึง BA.4.6 มีจำนวน 8.1% และ BA.2 รวม BA.2.75 จำนวน 2.9% BA.2.75.2 และ BQ.1.1 เป็นสายพันธุ์ที่อาจทำให้เกิดระลอกถัดไป ขณะเดียวกัน วารสารวิทยาศาสตร์ระดับโลกอย่าง Science เผยแพร่บทความที่เน้นย้ำให้เฝ้าระวังป้องกันการระบาดระลอกถัดไป หลักฐานวิชาการทั้งจากงานวิจัยของ Karolinska Institute สวีเดน และจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ชี้ให้เห็นว่า ทั้งสองสายพันธุ์มีสมรรถนะหลบหลีกภูมิคุ้มกันมากกว่า BA.5 ถึง 6 เท่า นอกจากนี้ ยังพบว่าสายพันธุ์ย่อยที่กลายพันธุ์เหล่านี้ ยังจับกับตัวรับที่ผิวเซลล์ได้ดี ทำให้ง่ายต่อการติดเชื้อ ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบหลังติดเชื้อ ไวรัสนี้สามารถกระตุ้นให้เกิดการสร้างแอนติบอดี้ที่ผิดปกติ ที่แม้ว่าจะจับไวรัสได้ แต่ไม่ได้บั่นทอนสมรรถนะของไวรัสที่จะติดเชื้อไปยังเซลล์อื่นต่อไป ด้วยคุณสมบัติทั้งสามเรื่อง จึงมีโอกาสที่จะทำให้เกิดการระบาดใหญ่ขึ้นมาได้ในอนาคต หากไม่ป้องกันให้ดี
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมือกับมาตรการภาครัฐ ทำให้สถานการณ์ระบาดของไทยมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ขอให้ประชาชนทุกคนยังเฝ้าระวังป้องกันตนเองจากโควิดต่อเนื่อง เพื่อให้อยู่ร่วมกับโควิดได้อย่างปลอดภัย ดำเนินชีวิตและขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจสังคมได้ตามปกติ ส่วนกรณีผู้ป่วยทางเดินหายใจ ให้ปฏิบัติตามมาตรการ DMHT โดยเฉพาะสวมหน้ากากอนามัย และล้างมือเมื่อต้องใกล้ชิดผู้อื่น ขณะที่ประชาชนทั่วไปแนะนำให้สวมหน้ากากอนามัย เมื่อเข้าไปในสถานที่ผู้คนแออัดหรือพื้นที่ปิดอากาศไม่ถ่ายเท รวมถึงขนส่งสาธารณะที่มีคนหนาแน่น ให้ตรวจ ATK เมื่อมีอาการป่วยตามความจำเป็น สำหรับหน่วยงาน องค์กร สถานประกอบการ ให้คัดกรองอาการป่วยของพนักงานเป็นประจำ ถ้ามีพนักงานป่วยจำนวนมากให้รายงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อควบคุมป้องกันการระบาดทันสถานการณ์ ไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยรวม นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำเรื่องการฉีดวัคซีน สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับเข็มกระตุ้น ขอให้ไปฉีดได้ที่สถานพยาบาลที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานครกำหนด โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี