สธ.ปรับแผนใหม่
รายงานยอดป่วยโควิดทุกสัปดาห์
ประเดิมวันแรก3ตุลาคมนี้
รบ.แนะใส่แมสก์ลดรับเชื้อ
ย้ำฉีดวัคซีนฟรีรพ.ใกล้บ้าน
สธ.ปรับแผนรายงานผู้ติดเชื้อ-เสียชีวิตจากโควิดเป็นรายสัปดาห์ เริ่ม 3 ตุลาคม วันแรก นายกฯชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงาน-เอกชนจิตอาสา ร่วมทำงานศูนย์ฉีดวัคซีนฯบางซื่อ กระจายวัคซีนให้ประชาชนได้ทั่วถึง ขณะที่กรมควบคุมโรคไม่วางใจ คลอดมาตรการเฝ้าระวังจว.เสี่ยง โดยเฉพาะจว.ท่องเที่ยว จว.ที่มีชุมชนแรงงานต่างด้าวนำร่อง8จว.ใช้เป็นสัญญาณเตือนการระบาดระลอกใหม่ รวมถึงเฝ้าระวังสายพันธุ์ใหม่
เมื่อวันที่ 2ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ประกาศผ่านแพจเฟซบุ๊คแจ้งว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 โควิด- 19 ปรับเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ซึ่งกำหนดให้มีการรายงานโรคเป็นรายสัปดาห์ โดยเริ่มรายงานครั้งแรกวันที่ 3 ตุลาคม 2565 ทั้งนี้ จะทำให้หลังจากนี้การรายงานสถานการณ์โควิดและตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ กรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข จะรายงานผ่านช่องทางสื่อสารของกรมควบคุมโรคเองเป็นรายสัปดาห์ โดยจะเริ่มรายงานครั้งแรกวันที่ 3 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป
ด้านนพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยถึงมาตรการติดตามเฝ้าระวังการระบาดโควิด -19 ที่กลายเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวังว่า จะวางมาตรการเฝ้าระวังการระบาดโควิด-19 ในประชากรเสี่ยง และสถานที่เสี่ยง (Sentinel surveillance) จะติดตามข้อมูลในจังหวัดท่องเที่ยว จังหวัดที่เสี่ยงโรคระบาด จังหวัดที่มีชุมชนแรงงานต่างด้าว ทั้งนี้ เลือกได้ 8 จังหวัด เช่น กรุงเทพมหานครและจังหวัดอื่นในภูมิภาคละ 2 จังหวัด แต่ก็ติดตามข้อมูลในจังหวัดอื่นที่มีความพร้อม หรือจังหวัดที่เห็นความสำคัญทำคู่ขนานกันไป คาดว่าอาจเก็บข้อมูลเข้มข้นไปถึงปลายปี 2565 เพื่อประเมินสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม มาตรการที่ สธ.ใช้เฝ้าระวังโควิดจะไม่กระทบการใช้ชีวิตของประชาชนแน่นอน โดยระบบเฝ้าระวังที่ สธ.กำหนดไว้เดิม 3 ระบบ ที่ทุกจังหวัดต้องมีคือ 1.ติดตามผู้ป่วยที่เข้ารักษาในโรงพยาบาล (รพ.) 2.การระบาดในชุมชนและ3.เฝ้าระวังสายพันธุ์ ส่วนนี้เพิ่มเป็นระบบที่ 4 เพื่อให้ระบบที่มีเข้มข้นมากขึ้น
นพ.โสภณกล่าวต่อว่า สำหรับ 8 จังหวัดที่ใช้นำร่องติดตามข้อมูลการระบาดโควิดนั้น เสมือนเป็นสัญญาณเตือน หากมีโอกาสเกิดระบาดในระยะข้างหน้า รวมถึงเฝ้าระวังเชื้อจะเป็นสายพันธุ์เดิม หรือสายพันธุ์ใหม่ เพื่อให้ระบบเฝ้าระวังสมบูรณ์มากขึ้น โดยการติดตามข้อมูลโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังจะสรุปข้อมูลเป็นรายสัปดาห์ เนื่องจากโรคไม่ได้เปลี่ยนแปลงเร็วเหมือนระบาดระยะแรก เพราะคนมีวัคซีน บางส่วนติดเชื้อตามธรรมชาติ ความเสี่ยงระบาดเร็วก็น้อยลง เว้นแต่จะมีเชื้อตัวใหม่
“สัญญาณการระบาดจะดูได้จากอัตราตรวจพบเชื้อ เช่น เก็บตัวอย่างมาแล้วพบติดเชื้อสูงขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่ และนำเชื้อที่ได้ไปตรวจหาสายพันธุ์ว่าต่างจากเดิมหรือไม่ แต่หากติดเชื้อในเปอร์เซ็นต์ที่สูง ก็อาจมีการยกระดับมาตรการได้ อย่างปัจจุบันเราเข้มงวดบางกิจกรรม เช่น ขนส่งสาธารณะ สถานพยาบาล และสถานดูแลผู้สูงอายุ เด็ก ดังนั้น ถ้ามาตรการไม่เพียงพอ เกิดการระบาด เราก็อาจขยับให้เข้มข้นขึ้นได้ แต่อย่าลืมว่า ทั่วโลกมองโควิดเป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจประเภทหนึ่ง ไม่มีอะไรที่เป็นพิเศษ ไทยเราถือว่ามาตรการมากที่สุดเมื่อเทียบกับหลายประเทศ”นพ.โสภณกล่าว
ขณะที่ น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า หลังศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อปิดตัวเป็นทางการเมื่อวันที่ 30กันยายนที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมขอบคุณเจ้าหน้าที่ สธ.กระทรวงคมนาคม หน่วยงานงานทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนจิตอาสาทุกคน ที่ร่วมปฏิบัติงานให้บริการกระจายวัคซีนให้ประชาชน 3.3ล้านคน รวมวัคซีนกว่า 6.5 ล้านโดส นายกฯยังแสดงความชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกคนที่มาจากทุกหน่วยงาน ร่วมปฎิบัติงานที่ศูนย์ฉีดวัคซีนฯบางซื่อ ช่วงที่โควิดระบาดหนัก กระจายวัคซีนให้ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นศูนย์วัคซีนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศและเป็นกลไกสำคัญ ทำให้ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ประชาชนได้รับวัคซีนครอบคลุม เกิดภูมิต้านทานทั่วถึง ผ่านพ้นวิกฤต ประชาชนกลับมาดำเนินชีวิต ธุรกิจกลับมาประกอบการได้ใกล้ภาวะปกติ
รองโฆษกรัฐบาลกล่าวต่อว่า หลังโควิดเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวังแล้ว มาตรการทางสังคมผ่อนคลายมากขึ้น แต่ยังคงแนะนำประชาชนสวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่แออัด ใช้แอลกอฮอล์ล้างมือบ่อยๆ เพื่อลดโอกาสรับเชื้อโรค ซึ่งด้วยกิจกรรมที่ผ่อนคลายมากขึ้น รัฐบาลยังรณรงค์ให้ประชาชนเข้ารับวัคซีน โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่เคยรับวัคซีน ขอให้เข้ารับวัคซีนด่วน ขณะผู้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์แล้ว ก็ขอให้เข้ารับเข็มกระตุ้น ลดอาการป่วยหนักและเสียชีวิต
ทั้งนี้ ประชาชนสามารถเข้ารับวัคซีนได้ในจุดบริการวัคซีนใกล้บ้าน ซึ่งสธ.กระจายวัคซีนไปยังโรงพยาบาล สถานพยาบาลเครือข่ายทุกจังหวัด โดยประชาชนเข้ารับวัคซีนได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมกันนี้ สถาบันโรคผิวหนังยังได้เปิดให้บริการฉีดวัคซีนสำหรับบุคคลอายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปทั้งชาวไทยและต่างชาติ ทั้งรูปแบบจองคิวฉีดล่วงหน้าได้ที่ https://covid19.iod.go.th/vaccine และลงทะเบียน ณ จุดฉีด (Walk in) ณ ห้องประชุมชั้น 20 สถาบันโรคผิวหนัง อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยให้บริการวันเสาร์ ที่ 1, 8, 29 ต.ค. 65 เวลา 9.00 -15.00 น. (ยกเว้นวันเสาร์ที่ 15 และ 22 ต.ค. งดบริการเนื่องจากเป็นวันหยุดยาว)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี