เปิดรายงาน กมธ.พาณิชย์ฯ ชงศึกษาวิจัยผลกระทบระยะยาวและควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า แนะแก้ประกาศกระทรวงพาณิชย์และ สคบ.พร้อมหาแนวทางเก็บภาษีบุหรี่ไฟฟ้า
นายอันวาร์ สาและ ประธานคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา (กมธ.พาณิชย์ฯ) สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ตนพร้อมด้วย นายทศพรทองศิริ สส. พรรคก้าวไกล ที่เป็นคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาเรื่องยาสูบ และบุหรี่ไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ ได้ทำหนังสือเสนอรายงานผลการพิจารณาศึกษาเรื่องยาสูบและบุหรี่ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยระบุว่าการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ตั้งแต่เมื่อปี 2560 เป็นการกำหนดนโยบายของภาครัฐที่ไม่สะท้อนต่อข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ทำให้ส่งผลกระทบต่อวงจรผู้ผลิตในภาพรวม ทั้งชาวไร่ยาสูบ ผลประกอบการของการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) และรายได้ที่ ยสท. ต้องนำส่งรัฐ การลักลอบนำเข้าบุหรี่เถื่อน รวมถึงภาพรวมของการจัดเก็บภาษีบุหรี่ของกรมสรรพสามิต ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องต้องหามาตรการแก้ไข
นอกจากนี้ ยังระบุว่าอีกปัญหาหนึ่งคือการที่ผู้บริโภคหันไปใช้บุหรี่ไฟฟ้าแทนการสูบบุหรี่ แต่ยังไม่มีงานวิจัยที่รองรับผลกระทบระยะยาวที่จะเกิดขึ้นจากการใช้บุหรี่ไฟฟ้าอีกทั้งสังคมพูดถึงข้อดีและข้อเสียแต่ยังไม่มีการสรุปแน่ชัด นอกจากนี้ ยังมีกรณีความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับอำนาจในการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในที่สาธารณะหรือสถานที่ส่วนตัวจากการยืนยันของสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.)
ทั้งนี้ การดำเนินการศึกษาพิจารณาของ กมธ.พาณิชย์ฯ ได้มีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมควบคุมโรค สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กลุ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคปอดนักจิตวิทยา กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต กระทรวงดีอีเอส สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกลุ่มผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า เพื่อให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะอย่างครบถ้วนในประเด็นด้านสุขภาพและประเด็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจ
ในรายงานฉบับนี้ได้ระบุความเห็นของ กมธ.พาณิชย์ฯ ว่า“เมื่อพิจารณาจากภาพรวมพบว่าบุหรี่ไฟฟ้ากำลังส่งผลกระทบอย่างมากต่อประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และระบบสาธารณสุข เนื่องด้วยกฎหมายยังไม่อนุญาตให้มีการนำเข้ามาเพื่อจำหน่ายได้เพราะยังไม่มีงานวิจัยที่สามารถยืนยันเกี่ยวกับผลกระทบในระยะยาวด้านสุขภาพของผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า “เวเปอร์ (Vaper)” ได้ ซึ่งการที่ปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้าเป็นที่แพร่หลาย หาซื้อได้ง่าย ทำให้เกิดการลักลอบนำเข้าและโฆษณาขายในอินเตอร์เนตอย่างชัดแจ้ง และมิได้มีมาตรการควบคุมอย่างเป็นรูปธรรมเช่นเดียวกับบุหรี่ซิกาแรต (บุหรี่มวน) ที่มีการขายในท้องตลาดซึ่งมีพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ.2560 ประกาศใช้บังคับ ดังนั้น การที่จะป้องกันการลักลอบนำเข้า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องบูรณาการการทำงานกันตั้งแต่ต้นทาง กับทั้งเมื่อพิจารณาถึงมูลค่าส่วนแบ่งในตลาดที่มีเป็นจำนวนมาก จะพบว่าประเทศไทยต้องสูญเสียรายได้จากการลักลอบดังกล่าวเป็นจำนวนมาก”
อีกทั้งยังไม่มีงานวิจัยยืนยันแน่ชัดว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ซิกาแรตในระยะยาว ฉะนั้นผู้เกี่ยวข้องต้องเร่งค้นคว้าข้อมูลอย่างรอบด้านเพื่อที่ภาครัฐจะได้วางแนวนโยบายที่เหมาะสม ประเทศไทยจะได้ไม่สูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีนำเข้าในส่วนบุหรี่ไฟฟ้า ทั้งนี้ รายงานยังระบุอีกว่า กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุขจะต้องร่วมกันพิจารณาแก้ไข ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 และประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง สินค้าต้องห้ามนำผ่านราชอาณาจักรพ.ศ. 2559 นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง จะต้องหาแนวทางในการกำหนดมาตรการในการจัดเก็บภาษีของผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยบนหลักการพื้นฐานด้านสุขภาพของผู้ใช้และผลกระทบต่อคนรอบข้างเป็นสำคัญ
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในรายงานไม่มีส่วนใดเลยที่เสนอให้คงการแบนไว้ต่อไป จึงต้องติดตามต่อไปว่ารัฐบาลและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตามความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการมากน้อยเพียงใด โดยยังสามารถปกป้องเด็ก-เยาวชนแต่ไม่กระทบต่อทางเลือกของผู้บริโภค เช่นเดียวกับในเกือบ 80 ประเทศทั่วโลกหลังจากที่มีการถกเถียงเรื่องนี้ยาวนานกว่า 8 ปี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี