ด.ต.ขโมยปืนหลวงรับสารภาพ
หาเงินใช้หนี้พนัน
ยอดหายรวม159กระบอก
คุมตัวฝากขังศาลทุจริต
ตร.เร่งติดตามของกลาง
“ดาบตำรวจ” ขโมยปืนหลวง 159 กระบอก สารภาพหาเงินใช้หนี้พนัน เริ่มเอาปืนไปขายตั้งแต่เดือนเมษายน เผย 9 แหล่งขาย ในพื้นที่ จ.นนทบุรี-กทม. ตำรวจ
เร่งติดตาม เตือนใครรับไว้รีบเอามาคืน โดยมีผู้ที่กลัวความผิดนำปืนหลวงใส่กระเป๋าแอบมาวางทิ้งไว้ที่สโมสรตำรวจ 27 กระบอกรวมกับมีผู้รับจำนำรับซื้อปืน3ราย ยินดีให้ตรวจสอบ ทำให้ได้ปืนคืนมาแล้ว30กระบอก ผบช.ภ.1สั่งเด้ง 3เสือ สภ.ปากเกร็ด ให้ไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.ภ.1 นายกฯสั่งติดตามอย่างใกล้ชิด กำชับทุกโรงพักเข้มงวด ย้ำห้ามทุจริตทรัพย์สินของรัฐเด็ดขาด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงดึกของวันที่ 20 ตุลาคม ที่ผ่านมา ที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต เจ้าหน้าที่ควบคุม ด.ต.เชาวลิต พุ่มขจร ผบ.หมู่งานป้องกันและปราบปราม สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์ในสถานที่ราชการ ก่อเหตุขโมยปืนหลวงกว่า 100 กระบอกของ สภ.ปากเกร็ด ไปขาย-จำนำ เพื่อไปใช้หนี้พนันและเล่นพนันบอล ซึ่งเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมได้ใกล้ชายแดนขณะเตรียมหลบหนีไปเวียงจันทน์ สปป.ลาว ขึ้นเครื่องบินจาก จ.หนองคาย มาลงที่กองบินตำรวจ ถนนรามอินทรา แขวงท่าแร้ง เขตบางเขต กทม.
เมื่อมาถึงพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 , พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบช.ภ.1 , พล.ต.ต.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผบก.ภ.จ.นนทบุรี , พล.ต.ต.อภิชาติ วรรณภักดิ์ ผบก.สส.ภ.1 ร่วมสอบปากคำ ด.ต.เชาวลิต ซึ่งหลังจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สอบปากคำด้วยตัวเองเสร็จสิ้น โดยใช้เวลานานกว่า 30 นาที ก็ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนภาค 1 สืบสวนจังหวัดนนทบุรี สืบสวน สภ.ปากเกร็ด แบ่งหน้าที่ทำงานเร่งติดตามนำอาวุธปืนที่ถูกลักไปกลับคืนมาให้ครบ
กลัวผิดย่องคืนปืน27กระบอก
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวภายหลังสอบสวน ด.ต.เชาวลิต ว่า ผู้ต้องหารับสารภาพก่อเหตุขโมยปืนหลวงจริงโดยเจ้าหน้าที่จะออกตรวจค้นหาอาวุธปืนตั้งแต่คืนวันที่ 20 ตุลาคม ขณะนี้มีผู้รับซื้อและจำนำ นำปืน 27 กระบอก ใส่กระเป๋าเดินทางสีน้ำตาลมาทิ้งคืนไว้บริเวณสโมสรตำรวจ เนื่องจากกลัวความผิดและโทร.แจ้งบอกเจ้าหน้าที่ไปนำมาเก็บไว้เป็นหลักฐานแล้ว ส่วนขั้นตอนต่อจากนี้ต้องรอให้สำนักงานพิสูจน์หลักฐานมาตรวจสอบโดยละเอียดทั้ง DNA ลายพิมพ์นิ้วมือและฝ่ามือ
ทั้งนี้ มั่นใจว่าภายใน 2-3 วัน จะสามารถนำปืนกลับมาได้จนครบ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปูพรมค้นหาตั้งแต่คืนวันที่ 20 ตุลาคม และจะนำผู้ต้องหาไปฝากขังที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤตมิชอบ ภาค 1 ที่ จ.สระบุรี ในวันที่ 21 ตุลาคม นี้
ทางด้าน พล.ต.ต.อภิชาติ ได้สอบปากคำ ด.ต.เชาวลิต จนถึงเช้า เพื่อเร่งติดตามอาวุธปืนที่ถูกขโมยไป ซึ่งจากการสอบปากคำทราบว่าอาวุธปืนถูกนำไปจำนำและกระจายไปหลายทอดหลายจังหวัด ขณะนี้ตำรวจสืบภาค 1 สืบสวนจังหวัดนนทบุรี สืบสวน สภ.ปากเกร็ด ได้ลงพื้นที่ติดตามอาวุธปืนแล้ว
ดต.รับสารภาพติดหนี้พนัน
พล.ต.ต.พนัญชัย กล่าวว่า ผู้ต้องหารับสารภาพว่าก่อเหตุเพราะติดหนี้การพนัน เนื่องจากผู้ต้องหามีหน้าที่ดูแลการเบิกจ่ายปืนสบช่องโอกาสก่อเหตุ เริ่มทำมาตั้งแต่เดือนเมษายน ที่ผ่านมา ทยอยเอาปืนออกมาขายเรื่อยๆ คือ ปืนกล็อก ปืนเอ็ม4 ปืนแม็กกาซีนซิกซาวเออร์ แต่เรายังไม่ปักใจเชื่อ คาดว่าน่าจะทำมานานแล้ว โดยปืนนำไปขายและจำนำกับบุคคลทั่วไป ร้านค้า นอกจากนี้ ยังมีขายและจำนำกับพวกนักพนันด้วยกัน เบื้องต้นเราทราบแหล่งขายแล้ว 9 จุด ในพื้นที่ จ.นนทบุรี และ กทม.
ทั้งนี้ ขอประชาสัมพันธ์ผู้ที่รับซื้อ หรือรับจำนำ ให้นำปืนมาคืนที่สโมสรตำรวจ โทษหนักจะเป็นเบา หรือไม่อาจจะกันตัวไว้ เป็นพยาน ถ้ากังวลเรื่องความปลอดภัยให้โทร.มาจะให้ตำรวจ บก.สปพ.(191) ไปรับ โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สั่งตั้งชุดเฉพาะกิจทำคดีดังกล่าว ที่สโมสรตำรวจ เร่งรัดให้จับกุมและติดตามปืนจำนวนดังกล่าวกลับคืนมาให้เร็วที่สุดเพื่อป้องกันเหตุร้าย และยังกังวลเกี่ยวกับงานประชุมเอเปค 2022
ภ.1สั่งเด้ง3เสือสภ.ปากเกร็ด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเดินทางไปสอบปากคำ ด.ต.เชาวลิต เสร็จสิ้นแล้ว พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 ได้กลับมาเซ็นคำสั่งที่ 292/65 ให้ พ.ต.อ.พงศ์จักร ปรีชาการุณพงศ์ ผกก.สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี, พ.ต.ท.สุเนตร์ สีชำนาญ รอง ผกก.ป.สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี, พ.ต.ท.พรรษา จิวรรักษ์ สว.อก.สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ให้ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการ ตำรวจภูธรภาค 1 (ศปก.ภ.1) โดยขาดจากตำแหน่งเดิม หรือจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ มีคำสั่งให้ข้าราชการตำรวจรักษาราชการแทน พ.ต.อ.อภิศักดิ์ โชติกเสถียร ผกก.สภ.ช้างใหญ่ จ.พระนครศรีอยุธยา รักษาราชการแทน ผกก.สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี, พ.ต.ท. สมภพ เชาว์เพชรไพโรจน์ รอง ผกก.สส.ภ.จ.นนทบุรี รักษาราชการแทน รอง ผกก.ป.สภ.ปากเกร็ด และ ร.ต.อ.พิชิต อิ่มโอชา รอง สว.อก.ภ.จ.นนทบุรี รักษาราชการแทน สว.อก.สภ.ปากเกร็ด
ยอดปืนหายรวม159กระบอก
พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบช.ภ.1 เปิดเผยว่า จากการตรวจอาวุธปืน รวมจำนวนหายไป 159 กระบอก ตรวจสอบเบื้องต้นครั้งแรกพบหายไป 160 กระบอก แต่ตรวจสอบมีปืนเอ็ม4 จำนวน 1 กระบอก มีเจ้าหน้าเบิกปืนไปใช้ภารกิจจริง ในจำนวนปืน159 กระบอก มีปืนสั้นลูกโม่ ปืนออโต้เมติกกล็อก ปืนออโตเมติกซิกซาวเออร์ รวม134 กระบอกและปืนยาว เอ็ม16 และ ปืนเอ็มโฟ รวม 25 กระบอก
ส่วนมีคนตั้งขอสังเกตว่าทำไมที่โรงพักมีปืนเก็บไว้จำนวนมากนั้น ถือว่ามีปืนตามจำนวนกำลังพลปฏิบัติหน้าที่ ปืนส่วนใหญ่เป็นปืนลูกโม่รุ่นเก่า โดยเมื่อคืน ที่ผ่านมามีผู้รับซื้อและรับจำนำปืน นำปืน 27 กระบอก มีปืนลูกโม่ 25 กระบอก และปืนเอ็ม4 จำนวน 2 กระบอกใส่กระเป๋าเดินทาง สีน้ำตาลมาทิ้งคืนไว้บริเวณสโมสรตำรวจ เนื่องจากกลัวความผิดและโทร.แจ้งเจ้าหน้าที่ให้ไปนำมาเก็บไว้เป็นหลักฐานแล้ว ซึ่งจะต้องมีการตรวจพิสูจน์หาผู้ครอบครองต่อไป
ได้ปืนคืนแล้ว30 กระบอก
รอง ผบช.ภ.1 เปิดเผยอีกว่า จากการขยายผลเข้าตรวจค้นเมื่อคืนมีผู้รับจำนำรับซื้อปืน 3 ราย สมัครใจยินยอมให้เข้าตรวจค้นบ้าน ได้ปืนมาเพิ่มอีก 3 กระบอก รวมขณะนี้ได้ปืนกลับมาแล้ว 30 กระบอก ปืนส่วนใหญ่ผู้ต้องหาเอาไปจำนำในบ่อน นักพนันด้วยกัน และนักการเมืองท้องถิ่น ในช่วงเช้านี้เจ้าหน้าที่นำกำลังเข้าตรวจค้นหาอาวุธปืนอีกหลายจุดในพื้นที่ กทม. พื้นที่ตำรวจภูธรภาค1 และพื้นที่ตำรวจภูธรภาค7
พล.ต.ต.พนัญชัย กล่าวอีกว่า ผู้รับจำนำรับซื้อปืนสมัครใจเอาปืนมาคืนต้องพิจารณาความผิดโทษหนักเบาตามพฤติกรรม บางส่วนอาจกันไว้เป็นพยาน สำหรับผู้ต้องหาภายหลังการสอบสวนที่สโมสรตำรวจ ช่วงเวลา 03.00 น. วันที่ 21 ตุลาคม ควบคุมตัวไปคุมขังที่ สภ.ปากเกร็ด เจ้าหน้าที่จะนำตัวไปฝากขังที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤตมิชอบ ภาค 1 ที่ จ.สระบุรี
สอบปากคำเพิ่ม-ฟัน4ข้อหา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัว ด.ต.เชาวลิต มาสอบปากคำเพิ่มเติม ก่อนเตรียมนำตัวส่งฝากขังยังศาลทุจริตภาค 1 สระบุรี ในข้อหามาตรา 147 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท และมาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีหรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ปลอมแปลงเอกสารทางราชการ และลักทรัพย์ในสถานที่ราชการ รวม 4 ข้อหา
นายกฯสั่งแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ติดตามการแก้ไขปัญหาอาวุธปืนอย่างใกล้ชิด ซึ่งล่าสุดที่ได้มีกรณีที่เจ้าหน้าที่ยศดาบตำรวจของ สภ.ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ขโมยปืนของ สภ.ปากเกร็ดไปขาย-จำนำ และกระทำมาเป็นเวลาหลายปีนั้น นายกฯไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ติดตามและสั่งการเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดโดยขณะนี้สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้แล้วและอยู่ระหว่างการเร่งรัดติดตามอาวุธปืนที่สูญหายกลับมาโดยเร็ว
ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีหลังจากเกิดกรณีดังกล่าว นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้สถานีตำรวจทุกแห่งเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบและดูแลรักษาอาวุธปืน รวมถึงอาวุธอันตรายอื่นๆของหน่วยงาน และให้มีมาตรการการลงโทษตามกฎหมายให้เด็ดขาด และยังได้กำชับให้ทุกหน่วยงานมีมาตรการป้องกันการทุจริต การขโทยทรัพย์สินของรัฐทุกประเภท
ไม่ให้มีทุจริตทรัพย์สินของรัฐเด็ดขาด
“นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า การแก้ไขปัญหาอาวุธปืนเป็นปัญหาสำคัญเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข โดยเมื่อไม่นานมานี้ได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาตรการเพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการใช้อาวุธปืนอย่างเป็นระบบ ป้องกันไม่ให้มีการนำปืนไปก่อความรุนแรงกับประชาชน โดยมาตรการต่างๆ ได้ผ่านการอนุมัติของ คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา และนายกรัฐมนตรีได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการทุกมาตรการอย่างเป็นรูปธรรมภายใน 3 เดือน พร้อมกำชับเรื่องดูแลไม่ให้มีการทุจริตจากการใช้ทรัพย์สินของรัฐเด็ดขาด” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี