เตือน13จว.ภาคใต้ฝนตกหนัก
บันนังสตาอ่วม!
น้ำป่าไหลซัดบ้านจม-ถนนขาด
เบตงน้ำท่วม/เกิดดินสไลด์
สตูลเร่งเปิดทางรับมวลน้ำ
สงขลาปักธงเหลืองเตือนภัย
อุตุฯ เตือน 13 จังหวัดภาคใต้ รับมือฝนถล่ม เกิดน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่าไหลหลากยอดดอยหนาวอุณหภูมิลดฮวบ ปภ.สรุปน้ำยังท่วม 14 จังหวัด บันนังสตาน้ำป่าซัดถนนขาด-บ้านเรือนจมเบตงฝนถล่ม น้ำท่วมเกิดดินสไลด์ สตูลเร่งเปิดทางน้ำเพื่อรองรับมวลน้ำระลอกใหม่ ขณะที่สงขลาปักธงเหลือเตือนภัยชายหาด ด้าน มท.1สั่งผู้ว่าฯ 53 จว.รับมือภัยหนาว ย้ำอากาศแห้งระวังเหตุเพลิงไหม้
เมื่อวันที่ 4พฤศจิกายน น.ส.ชมภารี ชมภูรัตน์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศฉบับที่ 2 เรื่อง ฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณภาคใต้ ว่าช่วงวันที่ 4-6 พฤศจิกายน 2565 ร่องมรสุมที่พาดผ่านภาคใต้ตอนล่างเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำที่ปกคลุมบริเวณประเทศมาเลเซียและช่องแคบมะละกามีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและลมตะวันออกพัดปกคลุมภาคใต้ อ่าวไทย และทะเลอันดามัน ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่
เตือน13จว.ภาคใต้ฝนตกหนัก
จังหวัดที่คาดว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ดังนี้ ช่วงวันที่ 4-5 พฤศจิกายน 2565 จ.สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ภูเก็ต กระบี่ ตรัง สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
ส่วนวันที่ 6 พฤศจิกายน 2565 จ.ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา พังงา ภูเก็ต และกระบี่
ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในระยะนี้ สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง
ยอดดอยหนาวจัดอุณหภูมิลด
สำหรับพยากรณ์อากาศทั่วไปร่องมรสุมที่พาดผ่านภาคใต้ตอนล่างเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำที่ปกคลุมบริเวณประเทศมาเลเซียและช่องแคบมะละกามีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและลมตะวันออกพัดปกคลุมภาคใต้ อ่าวไทย และทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้ตอนล่างยังคงมีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในระยะนี้
ส่วนบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนยังคงปกคลุมประเทศไทยตอนบน และภาคใต้ตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลง
ปภ.สรุปน้ำท่วม14จว.-เร่งระบาย
ด้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)ในฐานะกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง(กอปภ.ก.)รายงานสถานการณ์น้ำท่วมช่วงวันที่ 28 กันยายน-4 พฤศจิกายน 2565 ว่าเกิดอุทกภัยรวม 59 จังหวัด 353 อำเภอ 1,879 ตำบล 11,770 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 528,063 ครัวเรือน ผู้เสียชีวิต 12 รายปัจจุบันยังมีน้ำท่วมในพื้นที่ 14 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี สุพรรณบุรี นครปฐม และยะลา รวม 60 อำเภอ 460 ตำบล 3,306 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 185,008 ครัวเรือน สถานการณ์ภาพรวมระดับน้ำลดลงทุกจังหวัด
ทั้งนี้ ปภ.ได้ประสานจังหวัดดูแลช่วยเหลือผู้ประสบภัยและเร่งระบายน้ำเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ สำหรับพื้นที่ซึ่งสถานการณ์คลี่คลายแล้ว ให้เร่งฟื้นฟูเพื่อให้ประชาชนกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว
กอนช.แจ้ง7จว.เสี่ยงท่วมฉับพลัน
ขณะที่กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ได้ติดตามสภาพอากาศกรมอุตุนิยมวิทยา ช่วงวันที่ 4-5 พฤศจิกายน 2565 มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ประกอบกับร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนล่างเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณชายฝั่งประเทศมาเลเซีย ทำให้ภาคใต้ตอนล่างยังคงมีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง พื้นที่ต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากภาคใต้ ได้แก่ จ.สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส
อิทธิพลพายุทำสตูลท่วม5อำเภอ
ที่ จ.สตูล ผู้สื่อข่าวรายงานถึงสถานการณ์น้ำท่วม จากอิทธิพลพายุโนรู และเนสารท ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมใน 5 อำเภอ ได้แก่ อ.ละงู อ. มะนัง อ.ควนกาหลง อ.ทุ่งหว้า และ อ.เมือง โดยปัจจัยการไหลของน้ำเป็นขั้นบันได แม้จะเกิดปัญหาน้ำท่วมในระยะเวลาไม่นานแต่ได้สร้างความเสียหายให้บ้านเรือนประชาชน และพื้นผลทางการเกษตร รวมทั้งปัญหาการสัญจรไปมา โดยในพื้นที่ห้วยผัง 13 หมู่ 7ต.นิคมพัฒนา อ.มะนัง เกิดน้ำท่วมหลายแห่ง ทางฝ่ายปกครองร่วมกับทหาร ได้ออกสำรวจและแก้ปัญหา
นายดนัย สุวรรณโณ นายกอบต.นิคมพัฒนา เปิดเผยว่า ห้วยผัง 13 เป็นแหล่งรับน้ำและระบายน้ำ ปัจจุบันมีสภาพตื้นเขิน มีวัชพืชปกคลุมและการอุดตันของท่อระบายน้ำที่ไหลสู่ลำห้วย ทำให้การระบายน้ำออกเป็นไปอย่างยากลำบาก โดยเฉพาะช่วงที่ฝนตกหนัก ทำให้เกิดน้ำท่วมขัง จึงสนับสนุนรถขุดตัก และมอบหมายให้เจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ เพื่อป้องกันและแก้ปัญหาน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้น
ทหารเร่งเปิดทางน้ำรับมวลน้ำใหม่
ด้าน น.อ.อาทิตย์ภากร สังขรัตน์ ผู้บังคับหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 45 สำนักงานพัฒนาภาค 4 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กล่าวว่า พื้นที่ตรงนี้รับน้ำจากตอนบนโดยคลองที่จะระบายหลักคือคลองลำโลน ซึ่งเชื่อมระหว่าง ต.อุทัยเจริญและนิคมพัฒนา ช่วงฤดูน้ำหลากชาวบ้านจะได้รับผลกระทบในส่วนของพืชสวนทุเรียนปาล์มยางพาราร่วม 1,000 ไร่ ขณะนี้จึงดำเนินการเปิดช่องทางระบายน้ำนำเอาวัชพืชและจุดที่มีการอุดตันถนนและสะพานทางรอดต่างๆ เพื่อเตรียมการสำหรับรองรับมวลน้ำที่จะเข้ามาอีก
สงขลารุดปักธงเหลืองเตือนภัย
ส่วนที่ จ.สงขลา คลื่นลมในอ่าวไทย บริเวณหาดชลาทัศน์ อ.เมือง จ.สงขลา มีกำลังแรงขึ้น เกิดคลื่นขนาดใหญ่พัดเข้าสู่ชายฝั่ง ทำให้ทางเทศบาลนครสงขลาได้ติดตั้งธงเหลือง เป็นสัญลักษณ์เตือนภัย ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเพิ่มความระมัดระวังในการทำกิจกรรมบริเวณชายหาดมากขึ้น และได้ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนและนักท่องเที่ยว เฝ้าระวังต้นสนริมหาดที่อาจล้มเมื่อเกิดลมพัดแรง เพื่อลดความเสี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้
ศูนย์อุตุฯใต้ออกประกาศฉบับ2
ขณะเดียวกัน ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก จ.สงขลาออกประกาศเตือนฉบับที่ 2 ว่าบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนได้แผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนแล้ว ส่งผลให้ร่องมรสุมที่พาดผ่านภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้นลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้ฝั่งตะวันออกมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ช่วงวันที่ 4-6 พฤศจิกายน 2565 ทั้ง จ.สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ชุมพร ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก และฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองจึงขอให้ประชาชนติดตามข่าวพยากรณ์อากาศอย่างใกล้ชิด
บันนังสตาน้ำป่าซัดถนนขาด-บ้านจม
ผู้สื่อข่าวรายงานถึงสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ในพื้นที่ จ.ยะลา ว่า คืนที่ผ่านมา หลังจากมีฝนตกหนักตลอดคืน ส่งผลให้มีน้ำป่าหลากเข้าท่วมถนนและบ้านเรือนประชาชนใน ต.ตาเนาะปูเต๊ะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา อย่างรวดเร็ว มวลน้ำได้ส่งผลให้บ้านเรือนได้รับความเสียหายหลายครัวเรือน ภายหลังมีการสำรวจในเบื้องต้น พบว่าที่พื้นที่หมู่ 6 บ้านกาสังใน ต.ตาเนาะปูเต๊ะ อ.บันนังสตา มวลน้ำได้กัดเซาะถนนจนทรุดตัวและขาด ทำให้รถยนต์ไม่สามารถสัญจรไปมาได้ และน้ำได้ไหลเข้าท่วมบ้านเรือนชาวบ้านรวม 105 หลังคาเรือนส่วนที่หมู่ 3 บ้านกาสัง ต.ตาเนาะปูเต๊ะ อ.บันนังสตาน้ำป่าหลากท่วมบ้านเรือนชาวบ้านอีกกว่า 30 หลังคาเรือน รวมทั้งพื้นที่การเกษตร ที่ยังไม่สามารถประเมินความเสียหายได้
ชาวบ้านโอดน้ำมาเร็วตั้งตัวไม่ทัน
นายรอมฎอนโตะโด ชาวบ้านในพื้นที่หมู่ 3 ต.ตาเนาะปูเต๊ะ อ.บันนังสตา กล่าวว่า คืนที่ผ่านมาน้ำป่าไหลหลากมาอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน ทำให้น้ำท่วมบ้านและยังท่วมโรงครัวของมัสยิดกาสัง ได้รับความเสียหายและพื้นที่รอบๆ มัสยิด ก็ถูกดินโคลนที่เกิดจากแรงน้ำพัดพาลงมา ทางมัสยิดจึงประกาศงดสอนกีตับ หรือ อัลกุรอานให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่
เจ้าหน้าที่เร่งช่วยน้ำท่วมที่ยะลา
ที่ จ.ยะลา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คืนที่ผ่านมาได้เกิดฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมในหลายจุด ทาง ร.ต.อ.สิทธิพงศ์ เหมกุสุมา นายกอบต.ยะรม มอบหมายให้นายแวดอยะ มะลี รองนายก อบต.ยะรม นำกำลังเจ้าหน้าที่ ออกสำรวจความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในพื้นที่หมู่ 3 ใกล้ รพ.สต.บ้านยะรม และหมู่ 8 ด้านหลังสนามบินเบตง และข้างโรงอิฐบ้านบูเก๊ะดาราเซ โดย ร.ต.อ.สิทธิพงศ์ กล่าวว่า ได้บูรณาการหน่วยงานต่างๆ และจิตอาสา นำเครื่องมือ เครื่องจักร ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนพร้อมกับแจ้งเตือนประชาชนให้เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก
เบตงอ่วม!เกิดน้ำท่วม-ดินสไลด์
ส่วนเขตเทศบาลเมืองเบตง จ.ยะลา วันเดียวกัน นายสกุล เล็งลัคน์กุล นายกเทศมนตรีเมืองเบตง พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เจ้าหน้าที่กองช่าง และเจ้าหน้าที่งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ลงพื้นที่ช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่บ้านกาแป๊ะ กม.3 ที่ได้รับผลกระทบจากดินสไลด์จากเนินเขา และต้นไม้ล้มกีดขวางการจราจร ที่ริมถนนสุขยางค์ เส้นทางไปด่านพรมแดนเบตง ทำให้ผู้ใช้เส้นทางดังกล่าวได้รับความเดือดร้อน ซึ่งเจ้าหน้าที่เร่งเคลียร์พื้นที่ ตัดต้นไม้ที่ล้มขวางถนน พร้อมกับทำความสะอาด เพื่อเปิดการจราจรให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติแล้ว
มท.1สั่งผู้ว่าฯ53จว.รับมือภัยหนาว
อีกด้านหนึ่ง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวว่า กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้ติดตามสภาพอากาศร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่าประเทศไทยจะมีอากาศหนาวกว่าปีที่ผ่านมา เพื่อให้การเตรียมการป้องกันและแก้ปัญหาภัยจากอากาศหนาวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด53 จังหวัด ได้แก่ ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ เชียงราย ตาก ลำปาง แม่ฮ่องสอน ลำพูน พะเยา น่าน พิจิตร เพชรบูรณ์ พิษณุโลก แพร่ กำแพงเพชร สุโขทัย อุตรดิตถ์ นครสวรรค์ และอุทัยธานี
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ นครพนม นครราชสีมา บึงกาฬ บุรีรัมย์ มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ร้อยเอ็ด เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี อุบลราชธานี และอำนาจเจริญ ภาคกลาง จ.นนทบุรี ปทุมธานี กาญจนบุรี ชัยนาท ราชบุรี นครนายก นครปฐม พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง และฉะเชิงเทรา ภาคตะวันออก จ.ปราจีนบุรี และสระแก้ว เตรียมพร้อมประเมินสถานการณ์ และผลกระทบจากอากาศหนาวหรือหนาวจัด
ทบทวนแผนเผชิญเหตุระดับจว.
พร้อมกันนั้นให้เตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวทบทวนและปรับปรุงแผนเผชิญเหตุของจังหวัด โดยสำรวจปรับปรุงข้อมูลบัญชีกลุ่มเปราะบาง อาทิ ผู้สูงอายุ คนพิการทุพพลภาพ เด็กไร้ผู้อุปการะ สตรีมีครรภ์ ข้อมูลวัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรกลสาธารณภัย และชักซ้อมแนวทางการปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุร่วมกับอำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
“ให้ทุกพื้นที่สร้างการรับรู้ให้กับประชาชนในการดูแลสุขภาพตนเองช่วงฤดูหนาว เช่น งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อคลายหนาว เพราะมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ การไม่ผิงไฟในที่อับอากาศเพราะจะทำให้หมดสติและขาดอากาศหายใจ เป็นต้น และประสานหน่วยงานด้านสาธารณสุขเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมป้องกันโรคติดต่อในช่วงฤดูหนาว” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
ย้ำอากาศแห้งระวังเหตุเพลิงไหม้
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวอีกว่า ช่วงฤดูหนาวจะมีสภาพอากาศแห้ง และนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางท่องเที่ยวพื้นที่ซึ่งมีอากาศหนาวเย็น จึงให้จังหวัดกำหนดมาตรการป้องกันเหตุเพลิงไหม้ โดยเตรียมความพร้อมเจ้าหน้าที่ รถดับเพลิง รถบรรทุกน้ำ และอุปกรณ์ดับเพลิงให้พร้อมปฏิบัติงานได้ทันที และให้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร และจิตอาสา เฝ้าระวังการเกิดเหตุเพลิงไหม้ในชุมชน ตลอดจนสถานที่ท่องเที่ยว และขอความร่วมมือเกษตรกรไถกลบแทนการเผาตอซังและวัสดุทางการเกษตร เพื่อป้องกันอัคคีภัยและช่วยลดปัญหาหมอกควัน รวมทั้งกำหนดมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการสัญจรในฤดูหนาว เช่น สภาพทัศนวิสัยจากหมอกหนา โดยประสานกรมทางหลวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตั้งสัญญาณไฟ หรือไฟส่องสว่างในบริเวณจุดเสี่ยง พร้อมกับจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกด้านการจราจรให้ประชาชน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี