‘สธ.’เคาะแผนวัคซีนโควิดปี’66
เน้นเข็มกระตุ้น
ให้กลุ่ม608-ด่านหน้า18ล้านคน
ใช้โมเดลหวัดใหญ่ฉีดปีละครั้ง
ไฟเขียวปลดล็อก‘อปท.’ซื้อเอง
ไทยติดเชื้อเพิ่ม4-5%ตามคาด
กก.วัคซีนฯถกแผนฉีดวัคซีนโควิดปี’66 ใช้โมเดลแบบฉีดไข้หวัดใหญ่คือ ปีละ1-2 เข็ม เน้นกระตุ้นในกลุ่มเสี่ยง 608 บุคลากรแพทย์ด่านหน้า อสม.รวม 18 ล้านคน ฉีด 2 เข็มใช้วัคซีน36 ล้านโดส เร่งทำแผนจัดหา นอกจากนี้ ไฟเขียวหลักการให้อปท.จัดซื้อเองได้ ด้านสธ.เผยสถานการณ์ระบาดเพิ่มขึ้น 4-5% หลังเข้าหน้าหนาว-มีการจัดกิจกรรมมากขึ้น
เมื่อวันที่ 10พฤศจิกายน ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์หลังประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติว่า จากข้อมูลการฉีดวัคซีนในไทยกว่า 143 ล้านโดสพบว่าช่วยเซฟชีวิตคนไทยได้กว่า 5 แสนคน ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติพิจารณาแผนการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด ปี 2566 ซึ่งจะอิงตามรูปแบบการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ปีละ 1-2 เข็ม โดยฉีดเข็มกระตุ้นในกลุ่มเสี่ยง 608 บุคลากรการแพทย์ด่านหน้า อาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) 18 ล้านคน ฉีด 2 เข็มใช้วัคซีนประมาณ 36 ล้านโดส โดยใช้งบประมาณจากกรมควบคุมโรค (คร.) เป็นหลัก ที่ประชุมจึงมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปวางแผนเตรียมการ
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบหลักการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สามารถจัดซื้อวัคซีนป้องกันโควิดเพื่อช่วยกระจายวัคซีนให้ประชาชนได้ครอบคลุมมากที่สุด โดยมอบหมายให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักประสานงานไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนเรื่องงบประมาณ กลุ่มเป้าหมาย และไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำ
นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า ส่วนสูตรการฉีดเข็มกระตุ้นนั้น ต้องพิจารณาตามสถานการณ์เนื่องจากปัจจุบันการพัฒนาวัคซีนมีการเปลี่ยนแปลงตลอด อย่างไรก็ตาม ในส่วนของวัคซีนรุ่นใหม่ที่ติดตาม ขณะนี้เรื่องประสิทธิภาพประสิทธิผลพบว่ายังไม่แตกต่างจากวัคซีนตัวที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ที่เปลี่ยนแปลงคือ ราคาที่สูงกว่าวัคซีนเดิมมาก ทั้งนี้ ที่ประชุมยังติดตามการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิดในประเทศ พบว่าแม้จะเดินไปได้ช้า แต่ขอให้พัฒนาต่อเนื่อง เพราะอนาคตต้องฉีดวัคซีนป้องกันโควิดต่อเนื่อง ต้องพึ่งพาการผลิตในประเทศ
ส่วนสถานการณ์ระบาดเชื้อโควิด–19ขณะนี้ ปลัด สธ.เผยว่า จากข้อมูลพบการติดเชื้อเพิ่มขึ้นจากเมื่อ 1-2สัปดาห์ที่ผ่านมาประมาณ4-5% ซึ่งเป็นไปตามโมเดลที่คาดการณ์ไว้ แต่ผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตยังไม่เพิ่มมากนัก เนื่องจากประเทศไทยเริ่มเข้าสู่หน้าหนาว โรงเรียนเปิดการเรียนการสอน และประเทศจัดกิจกรรมจำนวนมาก อัตราการติดเชื้อจึงเพิ่มขึ้น ดังนั้น ช่วงนี้การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเป็นเรื่องสำคัญ ขอให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้นป้องกันป่วยหนักและเสียชีวิต
ผู้สื่อข่าวถามว่า งบประมาณที่ใช้จัดหาวัคซีนในปี 2566 ต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมตรี (ครม.) หรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า เมื่อเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังแล้ว ก็สามารถใช้งบปกติ แต่ถ้าเป็นเรื่องเร่งด่วนก็ใช้งบกลาง ส่วนการจัดซื้อตามกฎหมายยังเป็นกรมควบคุมโรค
ด้านนพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า แม้วัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทยยังก้าวหน้าไม่เร็ว แต่ก็ก้าวหน้าอยู่ จึงต้องพัฒนาต่อให้ได้วัคซีนต้นแบบสำหรับต่อยอดวัคซีนในสายพันธุ์อื่นๆ พร้อมหาความร่วมมือกับต่างประเทศในการผลิตวัคซีน เช่นความร่วมมือกับ SK Bioscience (Korea) และองค์การเภสัชกรรม (อภ.)
ด้านนพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า
คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลีกแห่งชาติเห็นชอบให้ยารักษาโควิด-19 รวม 7 รายการ บรรจุเป็นยาในบัญชียาหลักแห่งชาติสำหรับโรคโควิด-19 ได้แก่ ยาเนอร์มาเทรลเวียร์+ไรโทนาเวียร์ ยาเรมเดซิเวียร์ ยาโมนูพิราเวียร์ ยาฟาวิพิราเวียร์ ยาเดกซาเมทาโซน ยาโทซิลิซูแมบ และยาบาริซิทินิบ โดยชดเชยเป็นค่ายา รวมไปถึงเห็นชอบให้เพิ่มเงื่อนไขการใช้ยา IVIG ที่ชดเชยเป็นยา ได้แก่ การรักษาภาวะมิสซี (MIS-C), การรักษาภาวะวิตต์ (VITT) และกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบหลังได้รับวัคซีนโควิด-19
“เดิมก่อนที่สธ.จะประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคเฝ้าระวัง การเบิกจ่ายค่ายาดูแลผู้ป่วยโควิด-19 จะดำเนินการตามหลักเกณฑ์ Green Channel ด้วยเป็นโรคระบาดภาวะเร่งด่วน แต่เมื่อปรับเป็นโรคเฝ้าระวังแล้ว และบอร์ด สปสช.มีมติให้การรักษาโควิด-19 เป็นสิทธิประโยชน์กองทุนบัตรทอง ดังนั้น ในการเบิกจ่ายยารักษาต้องเป็นไปตามรายการยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งการบรรจุรายการยาของคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ จะช่วยให้ผู้ป่วยโควิดที่เป็นสิทธิบัตรทอง สามารถเบิกจ่ายค่ายารักษาได้” นพ.จเด็จ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี