‘สมศักดิ์’ สั่งขยายผลเช็กบิลเครือข่ายลอบใช้ไฟหลวง ‘ขุดบิทคอยน์’ คาดประเทศเสียหาย 50,000 ล้านบาท สงสัยเจ้าหน้าที่การไฟฟ้ามีส่วนรู้เห็น ‘อธิบดีดีเอสไอ’ ชี้เป็นช่องทางการฟอกเงินขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ
7 ธันวาคม 2565 ที่บริเวณหน้าอาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม พร้อมด้วยนายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีดีเอสไอ และผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ร่วมกันแถลงผลการเปิดยุทธการปราบโกงสายฟ้าฟาด (ปฏิบัติการ Electrical Shock) ตรวจค้นอาคารพาณิชย์ต้องสงสัยลักลอบใช้กระแสไฟฟ้าทำเหมืองขุดบิทคอยน์รายใหญ่ในกรุงเทพมหานคร และ จ.นนทบุรี รวมทั้งสิ้น 41 จุด ส่งผลให้รัฐสูญรายได้กว่า 500 ล้านบาท
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากดีเอสไอได้รับคำร้องเรียนจากพลเมืองดีตั้งแต่เดือน ก.พ.2564 ใช้เวลาสอบสวน 1 ปีเศษ จนทราบว่ามีการลักลอบตั้งเหมืองขุดเงินดิจิทัลโดยเฉพาะบิทคอยน์ผิดกฎหมายและนำเครื่องเข้ามาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมทั้งมีการต่อกระแสไฟตรงโดยไม่ผ่านมิเตอร์ ทำให้ประเทศได้รับความเสียหาย จึงประสานกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กรมศุลกากร การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เข้าตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัยดังกล่าว พร้อมตรวจยึด อุปกรณ์ที่ใช้ขุดเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ จำนวน 3,500 เครื่อง และเครื่อง Power Supply กำลัง 1,800-2,000 วัตต์ มาตรวจสอบ พร้อมควบคุมผู้ดูแลอาคารหรือแอดมิน 1 ราย อายุ 30 ปี ในซอยสามัคคี 38 จ.นนทบุรี มาสอบสวน
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า จากการสอบสวนพบว่ามีกลุ่มนายทุนให้การสนับสนุนการกระทำความผิด เป็นระยะเวลากว่า 2 ปี ทั้ง จัดหาเครื่องขุดเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ที่ลักลอบหนีการสำแดงภาษีนำเข้าในราชอาณาจักรไทย สนับสนุนเงินทุนเพื่อจัดการอุปกรณ์ สถานที่ รวมถึงติดต่อคนมาดำเนินการต่อไฟฟ้าตรงไม่ผ่านมอนิเตอร์ ทำให้เสียค่าไฟฟ้าต่ำกว่าความเป็นจริง นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มลูกน้องอีกกว่า 20 ราย คอยทำหน้าที่ดูแลระบบและซ่อมบำรุงเครื่องอุปกรณ์เหล่านี้ ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการสอบปากคำขยายผล
“แต่ละอาคารจะวางเครื่องขุดเงินสกุลดิจิตอล จุดละประมาณ 100 เครื่อง ใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง จากที่ต้องเสียค่าไฟฟ้าตกเดือนละ 300,000-500,000 บาทต่อแห่ง แต่จ่ายค่าไฟฟ้าจริงเพียงแห่งละ 300-2,000 บาท ทำให้การไฟฟ้านครหลวงเสียหายกว่า 20 ล้านบาทต่อเดือน หรือปีละเกือบ 200-300 ล้านบาท และตลอด 2 ปี รัฐเสียรายได้กว่า 500 ล้านบาท หรือเป็นเพียงแค่ 1 % ของความเสียหายทั้งหมด 50,000 ล้านบาท เพราะการตรวจค้นอาคาร 41 แห่ง เป็นเพียงเครือข่ายเดียวของขบวนการที่มีอยู่ทั้งประเทศ จึงเชื่อว่ายังมีอีกหลายสถานที่ในประเทศที่มีการลักลอบต่อไฟหลวงขุดเหมืองบิทคอยน์เช่นกัน” นายสมศักดิ์ กล่าว
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ส่วนผู้กระทำความผิดมีรายได้จากการขุดเงินดิจิทัล 35 บาทต่อเครื่องต่อวัน ทั้งหมด 3,500 เครื่อง ทำให้มีรายได้ถึง 4.2 ล้านบาทต่อเดือน รวม 2 ปีมีรายได้กว่า 100 ล้านบาทโดยไม่เสียค่าไฟฟ้า แต่รัฐกลับสูญเสียรายได้หลายร้อยล้านบาท สำหรับการลักลอบใช้กระแสไฟฟ้าดังกล่าวอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุทำให้ค่าไฟราคาแพงขึ้นและเป็นภาระแก่ประชาชนทั่วไป นอกจากนี้ เชื่อว่าเจ้าหน้าที่การไฟฟ้านครหลวงหรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกำลังสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติม
ด้านนายไตรยฤทธิ์ กล่าวว่า ดีเอสไอทำการขยายผลพบว่าการต่อกระแสไฟฟ้าโดยตรงเพื่อรับรายได้จากการขุดเหรียญคริปโตเคอเรนซี่แล้วนั้น ยังเป็นช่องทางในการฟอกเงินของกลุ่มองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดจากพนันออนไลน์และยาเสพติด จะทำการสืบสวนหาผู้กระทำผิดต่อไป นอกจากนี้ ยังได้รับรายงานว่ามีอาคาร 3-4 แห่งที่เกี่ยวข้องใช้กระแสไฟสูงมาก ทำให้เกิดความร้อนจนเกิดไฟไหม้มาแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี