10 ม.ค. 2566 ที่มูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ (SWING) ย่านสีลม-พัฒน์พงศ์ กรุงเทพฯ น.ส.สุรางค์ จันทร์แย้ม ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2565 สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ออกประกาศซึ่งมีสาระสำคัญคือ กำหนดให้งบประมาณการป้องกันการติดเชื้อ HIV ครอบคลุมเฉพาะประชาชนที่อยู่ในสิทธิการรักษาพยาบาลของ สปสช. (บัตรทอง) เท่านั้น ส่งผลให้ประชาชนผู้ที่มีสิทธิการรักษาอื่นๆ เช่น สิทธิข้าราชการ สิทธิแรงงานในระบบประกันสังคม ไม่สามารถเข้าถึงได้
อาทิ การตรวจหาเชื้อ HIV โดยสมัครใจ บริการยาป้องกันการติดเชื้อก่อนการสัมผัส หรือยาเพร็พ (Pre-Exposure Prophylaxis, PrEP) บริการยาป้องกันการติดเชื้อหลังการสัมผัส หรือยาเป็ป (Post-Exposure Prophylaxis, PEP) และบริการถุงยางอนามัย ซึ่งส่งผลกระทบดังนี้ 1.ประชาชนผู้ที่มีสิทธิการรักษาอื่นๆ นอกสิทธิ สปสช. ไม่สามารถเข้ารับบริการป้องกัน HIV ซึ่งรวมถึงผู้ที่ตรวจ HIV โดยสมัครใจ ราว 4 แสนคน คิดเป็นร้อยละ 30 ของผู้รับบริการทั้งหมดในประเทศ
2.ผู้ที่รับบริการยาป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนการสัมผัส (Pre-Exposure Prophylaxis, PrEP) กว่า 8 พันคน คิดเป็นร้อยละ 60 ของผู้รับบริการทั้งหมดในประเทศ
3.ผู้ที่รับบริการยาป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีหลังการสัมผัส (Post-Exposure Prophylaxis, PEP) กว่า 2 พันคน หรือคิดเป็นร้อยละ 50 ของผู้รับบริการทั้งหมดในประเทศ และ 4.ผู้ที่รับบริการถุงยางอนามัยจำนวนกว่า 2 แสนคน คิดเป็นร้อยละ 30 ของผู้รับบริการทั้งหมดในประเทศ
โดยข้อ 2-4 ผู้ที่ไม่มีสิทธิรักษาพยาบาลของ สปสช. ต้องไปรับบริการที่หน่วยบริการตามสิทธิของตนเท่านั้น ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิพื้นฐานของการเข้ารับบริการสุขภาพของประชาชน และจะนำมาซึ่งความเสี่ยงของการรับเชื้อ HIV นอกจากนั้น ในวันที่ 23 ธ.ค. 2565 กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข มีหนังสือถึงองค์กรภาคประชาสังคม เรื่อง แนวทางการจัดบริการเพร็พในสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล
ที่กำหนดให้เมื่อผู้รับบริการได้เข้ารับบริการตรวจคัดกรองการติดเชื้อ HIV ที่คลีนิกเทคนิคการแพทย์ของภาคประชาสังคมแล้ว หลังจากนั้นต้องส่งผลตรวจไปให้สถานพยาบาลของรัฐเพื่อตรวจวิเคราะห์และสั่งจ่ายยาโดยแพทย์ และจ่ายยาโดยเภสัชกรในสถานพยาบาลของรัฐที่เป็นที่จัดเก็บยาเพร็พ ซึ่งแนวทางดังกล่าวส่งผลให้หน่วยบริการของภาคประชาสังคม ที่เคยจัดบริการยาเพร็พมาให้แก่ประชาชนมาอย่างต่อเนื่องกว่า 7 ปี ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป
จึงส่งผลกระทบต่อผู้รับบริการของหน่วยบริการภาคประชาสังคมคิดเป็นจำนวนร้อยละ 60 ของประเทศ ไม่สามารถเข้าถึงบริการการป้องกันด้วยยาเพร็พได้ ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิพื้นฐานในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพของประชาชน และทำให้ประชาชนที่กำลังรับบริการเพร็พได้รับผลกระทบ และมีโอกาสเสี่ยงต่อติดเชื้อ HIV มากขึ้น โดยทั้ง 2 กรณีข้างต้น ส่งผลกระทบให้ประชาชนจำนวนมากกว่า 6 แสนคน ไม่สามารถเข้าถึงบริการด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนตามรัฐธรรมนูญไทย
ดังนั้นเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมที่ร่วมดำเนินงานด้าน HIV เพื่อเป้าหมายการยุติเอดส์ของประเทศ จึงมีข้อเรียกร้องให้รัฐดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อให้การดำเนินงานด้าน HIV เป็นไปตามแนวนโยบายการยุติเอดส์ของประเทศภายในปี 2573 ดังต่อไปนี้ 1.ขอให้ สปสช. ทบทวนแก้ไขประกาศหลักเกณฑ์การบริหารจัดการกองทุน สปสช. ปี 2566 เพื่อให้งบประมาณของกองทุน สปสช. สำหรับการจัดบริการด้าน HIV ครอบคลุมประชาชนทุกคนในผืนแผ่นดินไทย ไม่ว่าจะอยู่ในสิทธิรักษาพยาบาลใดก็ตาม
2.กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ต้องทบทวนแก้ไขประกาศแนวทางการจัดบริการเพร็พโดยอนุญาตให้อาสาสมัครองค์กรภาคประชาสังคมที่ผ่านการอบรม สามารถจัดบริการเพร็พร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์และเภสัชกรทั้งโรงพยาบาลของรัฐ เอกชน หรือหน่วยบริการในพื้นที่ และอนุญาตให้หน่วยบริการของภาคประชาสังคมสามรถจัดเก็บยาเพร็พได้
3.กำหนดแนวทางการให้บริการจ่ายยาเพร็พแก่ผู้รับบริการในคลินิกเทคนิคการแทพย์ (ตามความข้อ 2) สามารถดำเนินการร่วมกับวิชาชีพเภสัชกรรมตามกฎหมายวิชาชีพเภสัชกรรม และวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมายวิชาชีพเวชกรรม ผ่านวิธีการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และ 4.กระทรวงสาธารณสุขต้องเร่งดำเนินการบูนรณาการ 3 กองทุน ได้แก่ สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สิทธิประกันสังคม และสิทธิข้าราชการ รวมเป็นกองทุนเดียว เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิบริการป้องกัน HIV ได้ทุกสถานพยาบาล และไร้อุปสรรค
“ผลการปฏิบัติที่ผ่านมาขององค์กรภาคประชาสังคม โดยภาพรวมถ้าเรื่องการให้บริการยาเพร็พ อย่างข้อมูลที่ได้เรียนไปว่าภาพรวมของประเทศในการให้บริการเพร็พซึ่งมีคลินิกของภาคเอกชน องค์กรภาคประชาสังคม และโรงพยาบาลของรัฐ โดยภาพรวมแล้วผลการดำเนินงานของคลินิกภาคประชาสังคมคิดเป็น 60% ของภาพรวมเพร็พของประเทศ ดังนั้นการที่คลินิกของภาคประชาสังคมไม่สามารถให้บริการได้ ก็เท่ากับ 60% นี้จะส่งผลกระทบอย่างยิ่งใหญ่” น.ส.สุรางค์ กล่าว
น.ส.สุรางค์ กล่าวต่อไปว่า จากสถิติของมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการเพียงองค์กรเดียว และเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ในปี 2565 ที่ผ่านมา ได้ให้บริการยาเพร็พกับประชาชนไปทั้งหมด 5,625 คน แต่ในความเป็นจริงยังมีองค์กรภาคประชาสังคมอื่นๆ ที่ทำงานอย่างเดียวกัน เช่น สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย มูลนิธิเอ็มพลัส มูลนิธิแคร์แมท ดังนั้นการที่ไม่ให้องค์กรภาคประชาสังคมร่วมให้บริการยาเพร็พก็จะส่งผลกระทบต่อประชาชนหลายหมื่นคนที่อาจเข้าไม่ถึงบริการ
ทั้งนี้ ข้อเรียกร้อง 2 ข้อแรกนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด จึงต้องการให้ สปสช. และกระทรวงสาธารณสุขปรับแก้ระเบียบโดยเร็ว เพื่อลดความเสี่ยงต่ออัตราการติดเชื้อ HIV ที่อาจกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้ระบบสาธารณสุขของไทยต้องเตรียมจัดหายาต้านเชื้อ HIV เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีข้อมูลชัดเจนว่า อัตราการติดเชื้อ HIV ในไทยเคยค่อนข้างสูงในช่วงก่อนที่จะมีการจัดบริการป้องกันการติดเชื้อ HIV ที่ครอบคลุม ทั้งการตรวจคัดกรองหาการติดเชื้อ การจ่ายยาเพร็พ-เป็ป และถุงยางอนามัย
“การที่ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงยาเพร็พซึ่งเป็นยาป้องกัน หรือไม่สามารถเข้าถึงการตรวจ HIV ได้อย่างสะดวก แน่นอนว่าเราเชื่อว่าความเสี่ยงที่ประชาชนมีอยู่จะมีมากขึ้น และอัตราการติดเชื้อเพิ่มขึ้นแน่นอน ที่ประเทศไทยเราไปตบปากรับคำไว้ว่าร่วมกันยุติเอดส์ในปี 2573 อาจจะไม่เป็นความจริงได้ ที่รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขท่านไปรับคำชื่นชมเยินยอจากนานาชาติว่าประเทศไทยสามารถยุติปัญหาเอดส์ได้ สามารถบริการจัดการเรื่องเอดส์ได้ดี ก็ขอให้ท่านปฏิบัติการตามนั้น” น.ส.สุรางค์ ระบุ
ผอ.มูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ ยังกล่าวอีกว่า มูลนิธิฯ เพิ่งส่งหนังสือชี้แจงถึง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข และจะมีการติดตามทวงถามต่อไป และเร็วๆ นี้มีแผนเตรียมเข้าพบคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เพื่อเรียกร้องให้ทบทวนแก้ไขประกาศข้างต้น รวมถึงจะเข้าร้องเรียนกับสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เนื่องจากประชาชนถูกละเมิดสิทธิในการเข้าถึงบริการสุขภาพ โดยจะมีประชาชนที่ได้รับความเสียหายเพราะเข้าไม่ถึงบริการร่วมเดินทางไปร้องเรียนด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
https://www.naewna.com/politic/702822 กระทบ 13.5 ล้านคน! พท.ค้านมติบอร์ด สปสช. ชะลอจ่ายงบสร้างเสริมสุขภาพ-ป้องกันโรค
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี