“ผู้ว่าฯ แต่งตั้งอย่างอัศวิน ทหาร-ตำรวจไปลง เราก็ยังอยู่ได้ เขาให้เราขยับแผงเราก็ขยับ ตอนที่ยังไม่จัดระเบียบมันมีทั้ง 2 ฝั่ง พออัศวินพอ คสช. เข้ามาจัดระเบียบเราก็อยู่แบบแอบๆ ก็อยู่ได้ แล้วประชุมก็ประชุมครั้งเดียว นี่ 3 เดือนประชุมบ้าง จัดระเบียบทุกวัน ประชุมวันเว้นวันประชุมแล้วพูดไม่รู้เรื่อง พูดบอกให้ขายนะไม่ได้ห้ามขาย แต่ให้รู้นะว่าทุกวันนี้เขาพัฒนาไปถึงไหนแล้ว ผมขายของผมก็ขายตรงที่มีคนเดิน ให้ผมไปอยู่ในเต็นท์”
คำพูดด้วยน้ำเสียงอัดอั้นคับข้องใจของ สมศักดิ์ ศรีทรัพย์ ตัวแทนผู้ค้าย่านสีลม (ฝั่งถนนขาเข้า) ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำกลุ่มผู้ค้า “หาบเร่แผงลอย” ย่านถนนสีลม ที่เดินทางไปศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2566 ที่ผ่านมา โดยหวังว่าจะได้พบกับ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. เพื่อทวงถามคำมั่นสัญญาที่ได้หาเสียงไว้ จนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งผู้นำเมืองหลวงของไทยเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2565 แบบ “แลนด์สไลด์”ถึง 1.3 ล้านคะแนน
ขณะที่ ณัฏฐ์ดนัย กุลธัชยศอนันต์ตัวแทนผู้ค้าย่านสีลม (ฝั่งถนนขาออก) แกนนำอีกคนหนึ่ง อธิบายที่มาที่ไปก่อนที่กลุ่มผู้ค้าจะรวมตัวกันมาที่“เสาชิงช้า” อันเป็นที่ตั้งของศาลาว่าการกทม. ว่า ในช่วงที่หาเสียงนั้น ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เคยให้คำมั่นว่า จะไม่มีการขับไล่ผู้ค้าหากสามารถจัดระเบียบได้ ภายใต้เงื่อนไขไม่กีดขวางทางเดินเท้า ไม่กีดขวางการจราจร และไม่สกปรก ซึ่งต่อมากลุ่มผู้ค้าได้ประชุมร่วมกับสำนักงานเขตบางรัก ได้รับคำแนะนำให้ลดขนาดแผงค้าให้เล็กลง จากเดิมที่เคยตั้งแผงขนาด 2x2 เมตร ให้เหลือลึก 1 เมตร กว้าง 1.5 เมตร
อีกทั้งต่อมาทางเขตขอให้ลดลงอีกเหลือขนาด 60x60 เซนติเมตร หรือ 2 บล็อก โดยผู้ค้าก็ให้ความร่วมมือ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการค้า และยืนยันว่า “นโยบายของ กทม. ที่ให้ย้ายเข้าตลาดเอกชนนั้นไม่ตอบโจทย์”เพราะตลาดเอกชนซึ่ง กทม. ประสานให้นั้น ค่าเช่า 2 เดือนแรกวันละ 150 บาทต่อเมตร แต่หลังจากนั้นจะเก็บเต็มอัตราคือวันละ 500 บาทต่อเมตร โดยยังไม่รวมค่าไฟฟ้า ค่าฝากสิ่งของ และค่าทำความสะอาด เฉลี่ยแล้วผู้ค้าจะมีต้นทุนค่าเช่าวันละ 1,000 บาท แต่ปัจจุบันผู้ค้าขายของเหลือเงินกลับบ้านเป็นกำไรเพียง 500-600 บาทต่อวันเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 17 ม.ค. 2566 กลุ่มผู้ค้าก็ไม่ได้พบกับผู้ว่าฯ ชัชชาติมีเพียงการเจรจากับทางสำนักงานเขตและผู้แทนของ กทม. เท่านั้น แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป ขณะที่อีกด้านหนึ่ง รายงานข่าวจากเว็บไซต์ นสพ.สยามรัฐ ระบุว่า ในวันเดียวกันนั้นเอง ผู้ว่าฯ ชัชชาติอยู่ที่ สำนักพัฒนาสังคม กทม. เขตดินแดง และชี้แจงกรณีข้อร้องเรียนจากผู้ค้าแผงลอยย่านสีลม ว่า “กทม.ไม่ใช่เจ้าของฟุตปาธ แต่ประชาชนเป็นเจ้าของร่วมกัน กทม.มีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อย ไม่มีสิทธิ์ให้ผู้ใดผู้หนึ่งไปขายบนทางเท้า” พร้อมย้ำว่า กทม.ไม่ได้ไล่อย่างเดียว แต่จัดเตรียมพื้นที่สำหรับผู้ค้าไว้แล้ว
ทั้งนี้ เมื่อดูกฎหมาย พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหาบเร่แผงลอยจะอยู่ใน “มาตรา 20” ระบุว่า (วรรคหนึ่ง) ห้ามมิให้ผู้ใด (1) ปรุงอาหาร ขายหรือจำหน่ายสินค้าบนถนน หรือในสถานสาธารณะ (2) ใช้รถยนต์หรือล้อเลื่อนเป็นที่ปรุงอาหารเพื่อขายหรือจำหน่ายให้แก่ประชาชนบนถนนหรือในสถานสาธารณะ (3) ขายหรือจำหน่ายสินค้าซึ่งบรรทุกบนรถยนต์รถจักรยานยนต์หรือล้อเลื่อน บนถนนหรือในสถานสาธารณะ
(วรรคสอง) ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่การปรุงอาหารหรือการขายสินค้าตาม (1) หรือ (2) ในถนนส่วนบุคคล หรือในบริเวณที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ประกาศผ่อนผันให้กระทำได้ในระหว่างวัน เวลาที่กำหนดด้วยความเห็นชอบของเจ้าพนักงานจราจร ซึ่งใน “มาตรา 4” ของ พ.ร.บ.เดียวกัน ระบุความหมายของ“เจ้าพนักงานท้องถิ่น” ว่า “(4) ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สำหรับในเขตกรุงเทพมหานคร” และ “พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายถึง “ปลัดกรุงเทพมหานคร ผู้อำนวยการเขต และผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตสำหรับในเขตกรุงเทพมหานคร”
ส่วนคำว่า “เจ้าพนักงานจราจร” แม้จะไม่ได้ระบุในกฎหมายฉบับนี้ แต่ใน พ.ร.บ.จราจรทางบกพ.ศ.2522 ระบุไว้ใน “มาตรา 4” ว่าหมายถึง หัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรและข้าราชการตำรวจซึ่งดำรงตำแหน่ง ดังต่อไปนี้ (ก) รองผู้กำกับการจราจร (ข) สารวัตรจราจร (ค) รองสารวัตรจราจร (ง) ผู้บังคับหมู่งานจราจร (จ) รองผู้บังคับหมู่งานจราจร (ฉ) ข้าราชการตำรวจตำแหน่งอื่นซึ่งหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการจราจร และคำว่า “หัวหน้าเจ้าพนักงานจราจร” หมายถึง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือข้าราชการตำรวจซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองผู้กำกับการหรือเทียบเท่าที่ได้รับแต่งตั้งจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ข้อมูลจากสำนักเทศกิจ กทม. ระบุว่า ในปี 2556 หรือ 1 ปี ก่อนการยึดอำนาจโดยรัฐบาลทหารคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กทม. เคยมีการตั้งจุดผ่อนผัน อนุญาตให้ทำการค้าบนทางเท้าหรือพื้นที่สาธารณะต่างๆ มากถึง 726 จุด แต่ในปี 2559 นั้น กทม. ได้ยกเลิกจุดผ่อนผันจนเหลือเพียง 243 จุด ตามนโยบายจัดระเบียบแผงลอย-คืนทางเท้าให้ประชาชนโดยรัฐบาล คสช. ขณะที่ในยุคของผู้ว่าฯ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาล คสช. เมื่อเดือน ต.ค. 2559 นั้น ข้อมูล ณ เดือนมี.ค. 2564 พบว่า เหลือจุดผ่อนผันหาบเร่แผงลอยอยู่เพียง 175 จุด
เว็บไซต์ทางการของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ www.chadchart.com (ข้อมูล ณ วันที่ 20 ม.ค. 2566) กล่าวถึงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับหาบเร่แผงลอยจำนวน 11 นโยบาย ได้แก่ 1.ดึงอัตลักษณ์ สร้างเศรษฐกิจ 50 ย่านทั่วกรุงเทพฯ 2.ส่งเสริมให้ผู้ค้าแผงลอยมีความมั่นคงในการประกอบอาชีพ 3.สร้างการมีส่วนร่วมของผู้ค้าแผงลอย ภาคประชาชน และเอกชนในพื้นที่ ช่วยดูแลพื้นที่การค้า 4.ทำฐานข้อมูลผู้ค้าแผงลอย พร้อมติดตามการดำเนินการ
5.เตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมรองรับพื้นที่การค้าหาบเร่แผงลอย 6.หาพื้นที่ของเอกชนหรือหน่วยงานราชการที่สามารถจัดเป็นพื้นที่ขายของสำหรับหาบเร่หรือศูนย์อาหาร (Hawker Center) 7.ทางเท้าเดิมโล่ง สะอาด เป็นระเบียบ 8.ตลาดนัดชุมชน ตลาดนัดเขต 9.ใบอนุญาตตามประเภทกิจกรรม Function-based License 10.ผู้ว่าฯ เที่ยงคืน สนับสนุนการใช้ชีวิตและเศรษฐกิจกลางคืน และ 11.พัฒนาโอกาสและศักยภาพในตลาด กทม.
กลับไปที่ สมศักดิ์ ศรีทรัพย์ ตัวแทนผู้ค้าย่านสีลม (ฝั่งถนนขาเข้า)ซึ่งเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2566 ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังการเจรจากับทาง กทม.ล้มเหลว ผู้ค้ายืนยันจะทำ “อารยะขัดขืน”ด้วยการมาตั้งแผงค้าทุกวัน แม้จะต้องถูกจับกุมดำเนินคดีทุกวันก็ตาม แต่ก็ย้ำว่า “ผู้ค้าไม่โทษข้าราชการไม่ว่าเจ้าหน้าที่เทศกิจหรือผู้อำนวยการเขต เพราะอำนาจอยู่ที่ผู้ว่าฯ” และย้ำว่า การจัดระเบียบกับการห้ามขาย 2 คำนี้ความหมายแตกต่างกัน
ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร เพราะแม้กฎหมายจะเปิดช่องให้ตั้งจุดผ่อนผันได้ แต่การดำเนินนโยบายนั้น กทม. อยู่ตรงกลางระหว่างคน 2 กลุ่ม คือฝ่ายผู้ค้าที่ต้องการพื้นที่ทำกินของคนระดับฐานราก กับอีกฝ่ายคือประชาชนส่วนหนึ่งที่มองว่าหาบเร่แผงลอยคือความไร้ระเบียบของเมืองและมีการถ่ายรูปมาโพสต์ลงสื่อออนไลน์อย่างต่อเนื่อง..งานนี้จึงวัดใจท่านผู้ว่าฯ เจ้าของฉายา “บุรุษสุดแกร่งในปฐพี” ล้วนๆ!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี