ผ่านพ้นไปแล้วกับ “เวทีนโยบายการพัฒนาเยาวชนและประชากรวัยแรงงานสู่ความพร้อมรับมือตลาดแรงงานยุคใหม่” ซึ่งจัดโดย กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับธนาคารโลก (World Bank) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) เพื่อวางเป้าหมายพัฒนาทักษะพื้นฐานการทำงานในโลกยุคใหม่ รวมถึงปลดล็อกความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและการศึกษา
ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุน กสศ. กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาเยาวชนหลุดออกจากระบบการศึกษา ที่หากไม่แก้ไขจะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศ ทั้งนี้ ประเทศไทยมีกลุ่ม NEET (Not in Education, Employment, or Training) ซึ่งหมายถึงประชากรวัย 15-24 ปี ที่ไม่อยู่ในระบบการศึกษาการจ้างงาน หรือการฝึกอบรมพัฒนาใดถือเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ไม่ได้ใช้ศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ จึงจำเป็นต้องค้นหาและพาเด็กเยาวชนกลุ่มนี้กลับเข้าสู่การพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาในหรือนอกระบบการทำงาน หรือการพัฒนาตนเองตามแนวทางที่เหมาะสม
“ผลสำรวจระบุว่าปี 2562 ประเทศไทยมี NEET มากถึง 1.3 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นราว 10% ของประชากรฐานภาษี และคิดเป็น 14% ของเยาวชนไทย นอกจากนี้กลุ่ม NEET ยังมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 1% ซึ่งสวนทางกับอัตราลดลงของเยาวชนไทยเฉลี่ย 1.2% ในทศวรรษที่ผ่านมา โดยร้อยละ 65 ของกลุ่ม NEET เป็นเพศหญิง มีปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยเรียนเป็นสาเหตุสำคัญ จากสถิติพบว่าร้อยละ 8 ของกลุ่ม NEET คือเพศหญิงทำงานบ้าน กว่าครึ่งมีสถานภาพสมรสและสำเร็จการศึกษาเพียงระดับมัธยม” ดร.ไกรยส ระบุ
โคจิ มิยาโมโตะ (Koji Miyamoto) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสฝ่ายปฏิบัติการระดับโลก ธนาคารโลกกล่าวถึงทักษะพื้นฐานการทำงานในโลกยุคใหม่ (Foundational Skill) ว่า แบ่งเป็น 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1.RiteracySkill (ความสามารถอ่านเขียน) เริ่มจากทักษะการอ่านออกเขียนได้ซึ่งเป็นขั้นแรก ไปสู่กลไกความก้าวหน้าขั้นต่อๆ ไป 2.Digital Skill (ความสามารถในการเข้าใจและจัดการข้อมูล ICT หรือดิจิทัล) คือการต่อยอดความอยากรู้ ความเข้าใจข้อมูลข่าวสารต่างๆ สามารถสังเคราะห์องค์ความรู้ต่อยอดพัฒนาชีวิตตนเองให้ดียิ่งขึ้น
เพิ่มศักยภาพในการทำงานจนเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานผลักดันตนเองไปสู่การจ้างงานที่มีรายได้สูงขึ้น หรือในภาคของผู้ประกอบการก็สามารถเพิ่มผลผลิตและนวัตกรรมได้มากขึ้น และ 3.Socio-Emotional Skill (ทักษะทางอารมณ์สังคม) คือความสามารถในการทำความเข้าใจและอยู่ร่วมกับผู้อื่น เข้าใจตนเอง เห็นอกเห็นใจและช่วยเหลือคนอื่นๆ ได้ในฐานะเพื่อนมนุษย์ นอกจากนี้ยังส่งผลด้านการดูแลตนเองในวิถีชีวิตและพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ ลดภาระบุคลากรและงบประมาณการดูแลของภาครัฐ รวมถึงเป็นพลเมืองที่ไม่ก่อปัญหาให้สังคม
“เมื่อคนซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญของประเทศมีงานทำ มีสุขภาพดี ดูแลตนเองได้ เขาจะพร้อมดำรงชีวิตบนความเปลี่ยนแปลง สามารถพาตัวไปหาโอกาส บริหารจัดการความเสี่ยงได้ด้วยตนเอง ซึ่งผลลัพธ์ที่สะท้อนกลับมาไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อคนคนหนึ่งหรือครอบครัวเท่านั้น หากยังสะท้อนไปถึงตลาดแรงงานของประเทศ และการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของชาติ” นักเศรษฐศาสตร์ของ World Bank กล่าว
ดร.สมชัย จิตสุชน ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาเยาวชนและประชากรวัยแรงงานนอกระบบ กสศ. และ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึงสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) กล่าวเสริมว่า Socio-Emotional Skill หรือทักษะทางอารมณ์และสังคมต่อกระบวนการเรียนรู้ เป็นเรื่องที่คนในสังคมยังพูดถึงค่อนข้างน้อย ทั้งที่ความสามารถในการปรับตัวมีความสำคัญมาก
“ในโลกปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ฉะนั้นเราต้องทำให้แรงงานมีความสามารถในการเรียนรู้และปรับตัว สิ่งที่ในขั้นนโยบายควรตั้งเป้าคือ คนไทยทุกคนไม่ว่าอายุเท่าไหร่ มีระดับการศึกษาแค่ไหน หรืออยู่ในสถานะสังคมเศรษฐกิจใดก็ตาม ทุกคนต้องมีโอกาสพัฒนาความสามารถ และเข้าถึงช่องทางการเพิ่มความรู้ให้กับตนเอง คืออาจไม่จำเป็นต้องเป็นที่โรงเรียน แต่เป็นการรวมกลุ่มกันเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเรียนรู้ และเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพ” ดร.สมชัย กล่าว
ผศ.ดร.ศุภชัย ศรีสุชาติ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ในประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ ทักษะพื้นฐานของแรงงานจะยังไม่อยู่ในมาตรฐานที่คาดหวัง ส่วนการพัฒนาทักษะอาชีพเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับแรงงานไม่ได้เติมเต็มทักษะพื้นฐานเท่าที่ควร หลักสูตรการพัฒนาอาชีพจึงต้องให้ความสำคัญกับทักษะขั้นพื้นฐาน หมายถึงการที่ประเทศจะลงทุนกับอะไรก็ตาม ต้องเริ่มที่ทักษะพื้นฐานเป็นจุดเริ่มต้น เพราะการพัฒนาทักษะเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับแรงงานในประเทศกำลังพัฒนา
“แม้ว่าลงทุนกับทักษะอาชีพเป็นมูลค่าสูง แต่ถ้าทักษะพื้นฐานยังไม่ได้รับการเติมเต็ม การลงทุนนั้นก็อาจยังไม่ได้ผลลัพธ์กลับมาที่คุ้มค่าเท่าที่ควร หรือได้ผลน้อยกว่าที่คาดไว้ทักษะขั้นพื้นฐานไม่ได้สำคัญกับการจ้างงานเฉพาะสายอาชีพ แต่งานทุกรูปแบบจำเป็นต้องใช้ เพราะฉะนั้นในขั้นนโยบายจึงต้องให้ความสำคัญกับทักษะพื้นฐานตั้งแต่ขั้นปฐมวัยอย่างครอบคลุม เป็น Learning for All และทำโดยเร็ว เพราะว่าทักษะพื้นฐานเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องสะสมและมีความเฉพาะตัว ยิ่งเริ่มต้นได้เร็วเท่าไหร่ โอกาสที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ก็จะมีมากขึ้น” ผศ.ดร.ศุภชัย กล่าว
เรืออากาศโท สมพร ปานดำ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวว่า วันนี้อาชีวศึกษาจัดการศึกษาแบบเดิมไม่ได้แล้ว แต่ต้องมองตามทิศทางการเปลี่ยนแปลงของประเทศ และอาชีพต่างๆ ที่เปลี่ยนไปทุกวัน เพราะฉะนั้นสถาบันอาชีวะในฐานะต้นทางผลิตกำลังคนของประเทศ ต้องมาทบทวนเรื่อง Future Skill ที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า โดยเฉพาะการ Upskill Reskill รับมือการก้าวเข้ามามีบทบาทของ AI แรงงานต้องปรับสภาพการทำงานให้เข้ากับโลกยุคใหม่ ไม่งั้นคนจะตกงานจำนวนมาก อาชีวะต้องผลิตคนที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานร่วมกับภาคีเครือข่าย ซึ่งถือว่าเป็นบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อการพัฒนาอาชีวศึกษา
สรรชัย ชอบพิมาย ผู้อำนวยการกองพัฒนาผู้ฝึกและเทคโนโลยีการฝึก กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า แนวคิดสำคัญคือก่อนที่เยาวชนและประชากรวัยแรงงานจะเข้าสู่ตลาดแรงงาน เขาจำเป็นต้องได้เรียนรู้หลักสูตรเตรียมทำงานฝึกวินัยและทักษะอาชีพ แล้วนอกจากฝึกในสถาบันหลักสูตรยังต้องกำหนดให้ได้ฝึกฝีมือในสถานประกอบการ ซึ่งมีความต้องการแรงงานตามทักษะเฉพาะทาง ซึ่งเมื่อฝึกเสร็จแล้ว กลุ่มเป้าหมายจะได้เข้าสู่สถานประกอบการ พร้อมการันตีค่าแรงตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน แล้วเมื่อทักษะเป็นตัวกำหนดว่าจะได้ค่าแรงเท่าไหร่ ก็จะทำให้เด็กมีแรงบันดาลใจ
ที่จะพัฒนาฝีมือของตนให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี