วันพุธ ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ในประเทศ
รัฐต้องทำอะไรเพื่อช่วยคนเลี้ยงหมูให้รอดในปี 2566

รัฐต้องทำอะไรเพื่อช่วยคนเลี้ยงหมูให้รอดในปี 2566

วันศุกร์ ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2566, 10.23 น.
Tag : คนเลี้ยงหมู รัฐบาล
  •  

รัฐต้องทำอะไรเพื่อช่วยคนเลี้ยงหมูให้รอดในปี 2566

สถานการณ์คนเลี้ยงหมูปี 2566 ไม่สู้ดีนัก เนื่องจากวัตถุดิบอาหารสัตว์มีราคาแพงมาก ปัจจุบันกากถั่วเหลือง 23.40 บาท/กก. ข้าวโพดหน้าโรงงาน 13.40 บาท/กก. (ชาวไร่ข้าวโพดขายได้ 9.50 บาท/กก.) ปลายข้าว 14.20 บาท/กก. ต้นทุนการผลิตที่คณะอนุกรรมการวิเคราะห์ต้นทุนการผลิตสุกรกรณีซื้อลูกหมูมาเลี้ยงขุนเท่ากับ 101 บาท/กก. แต่ช่วงตรุษจีนราคาหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มซื้อขายกันที่ 98-102 บาท/กก. เท่ากับว่าตอนนี้คนเลี้ยงหมูไม่มีกำไร


หลังจากนี้บอกเลยว่า ปีนี้คนเลี้ยงหมูเหนื่อย!!!

ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ทั้งข้าวโพดและกากถั่วเหลืองยังคงเป็นหอกคอยทิ่มแทงคนเลี้ยงหมู เนื่องจากประเทศไทยเราผลิตข้าวโพดได้เพียง 40% ต้องนำเข้า 60% ปีนี้ก็ยังคงเป็นปัญหา เพราะนโยบายรัฐที่ไร้การวางแผนเกี่ยวกับการนำเข้าข้าวโพด ยังคงใช้มาตรการควบคุมการนำเข้าข้าวสาลี 3 : 1 ซึ่งรัฐไม่ควรกำหนดโควตาการนำเข้า แต่ควรดูปริมาณการผลิตข้าวโพดภายในประเทศในปีนี้และอนุญาตให้นำเข้าไม่เกินปริมาณส่วนขาด ทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า อุปสงค์ส่วนขาด ไม่จำเป็นต้องกำหนดโควตาแต่อย่างใด เพียงแต่กำหนดเพดานการนำเข้า พิจารณาช่วงนำเข้าที่เหมาะสม ไม่ให้กระทบต่อช่วงข้าวโพดไทยที่ออกสู่ตลาด สิ่งเหล่านี้ต้องวางแผนและต้องทำตั้งแต่ต้นปี

นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรสร้างความร่วมมือในการจัดหาพืชอาหารสัตว์ โดยเฉพาะข้าวโพด ปลายข้าว รำข้าว มันสำปะหลัง เพื่อให้รายย่อยผสมอาหารสัตว์ใช้กันเองภายในกลุ่มผู้เลี้ยงหมู/วิสาหกิจชุมชน/สหกรณ์ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการเลี้ยงหมูของผู้เลี้ยงรายย่อย พร้อมทั้งเพิ่มรายได้ของเกษตรกรจากปลูกพืชหลังนา ซึ่งสามารถกำหนดปริมาณและรับซื้อที่แน่นอน เพื่อเป็นแรงจูงใจสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกพืชอาหารสัตว์

สำหรับกากถั่วเหลืองนั้นไม่ต้องพูดถึง เราต้องนำเข้ามา 99% ของปริมาณความต้องการใช้ในประเทศ เนื่องจากเราผลิตถั่วเหลืองได้ไม่ถึง 50,000 ตัน/ปี แต่ต้องใช้ประมาณปีละ 4 ล้านตัน ใช้สกัดน้ำมัน 75% แปรรูปอาหารคนและอาหารสัตว์ 25% และรัฐอย่าได้อาจหาญส่งเสริมให้เกษตรกรไทยผลิตถั่วเหลืองเพราะผลผลิตต่อไร่ต่ำมาก เราไม่มีทางสู้ได้ ต้องนำเข้าต่อไป แม้ว่าบราซิลผู้ส่งออกถั่วเหลืองรายสำคัญของโลก จะมีแนวโน้มส่งออกถั่วเหลืองได้มากขึ้น แต่ผู้ใช้รายใหญ่อย่างจีน สหภาพยุโรป และสหรัฐฯ ก็มีแนวโน้มการใช้เพิ่มขึ้นเช่นกัน น่าจะทำให้ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ในปีนี้คงตัวอยู่ในระดับสูงเช่นนี้ทั้งปี

นอกจากนี้ ผู้ผลิตอาหารสัตว์ต้องเผชิญกับต้นทุนค่าแรง ค่าพลังงาน ราคาอาหารสัตว์น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน นั่นหมายถึง ปีนี้ราคาหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มไม่ควรต่ำกว่า 100 บาท/กก.

แม้ว่าจะมีการประกาศราคาแนะนำจากสมาคมผู้เลี้ยงสุกรที่เพิ่มขึ้นมา 4 บาท/กก. จากความต้องการเนื้อหมูที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีน แต่คนเลี้ยงหมูไม่ได้ดีใจนัก แค่หายใจทั่วท้องเพียงชั่วครู่ เพราะรู้ดีว่านี้คือการปรับขึ้นราคาชั่วคราว ราคาหมูหลังตรุษจีนคือของจริง จะขึ้นหรือลงอยู่ที่ปริมาณหมูเถื่อน !!

ในปีนี้คาดว่าจะมีปริมาณการผลิตหมูขุนกลับเพิ่มเข้ามาได้ประมาณ 17 ล้านตัว แต่เราก็เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวมาเพิ่มการบริโภคเนื้อหมูเช่นกัน หากราคาหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มต่ำกว่า 100 บาท/กก. แสดงว่ามีหมูเถื่อนมาเทขายในราคาถูก กรมปศุสัตว์ต้องผนึกกำลังเฝ้าระวังและตรวจจับอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดีหมูขุนที่คาดว่าจะเข้าเลี้ยงเพิ่ม 3 ล้านตัวในปีนี้ ส่วนใหญ่มาจากรายใหญ่ที่มีความพร้อมทั้งในเรื่องแม่พันธุ์ ระบบไบโอซีเคียวริตี้ ต้นทุนการขุนโดยเฉพาะอาหารที่มีต้นทุนเฉลี่ยถูกกว่ารายย่อย ประกอบกับรายย่อย แม้จะอยากกลับมาเลี้ยงก็ไม่ง่ายนัก เนื่องจากราคาลูกหมูแพงมาก (16 กก. 3,400 บาท/ตัว+/- 96 บาท/กก.) รายย่อยส่วนใหญ่จึงตัดสินใจซื้อลูกหมูเข้าเลี้ยงเล็กลง น้ำหนักอยู่ราว ๆ 5-7 กก. ราคาประมาณ 2,000-2,500 บาท/ตัว เพื่อลดต้นทุนลูกหมู แต่ก็ต้องแบกรับความเสี่ยงในส่วนของอัตราสูญเสียที่อาจเพิ่มขึ้นและต้นทุนอาหารในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น

ความเสี่ยงถัดมาคือการซื้อขายลูกหมูเพื่อเข้าเลี้ยงของรายย่อยนั้นมักจะไม่ได้มีการตรวจเชื้อว่าปลอดโรคอหิวาต์แอฟริกา (ASF) หรือไม่ ซึ่งปศุสัตว์ควรต้องเร่งทำความเข้าใจและอำนวยความสะดวกในเรื่องนี้ เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายของเชื้อ ASF ที่แฝงอยู่ สังเกตได้จากช่วงหลังที่เริ่มมีการกลับเข้าเลี้ยงเพิ่มขึ้นก็มีการพบเชื้อ ASF เพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่เช่นกัน

นอกจากนี้เพื่อแก้ปัญหาแม่พันธุ์และลูกหมูขาดแคลน กรมปศุสัตว์ควรร่วมมือกับรายกลางและรายใหญ่ในจังหวัดเดียวกันหรือจังหวัดใกล้เคียงในการแบ่ง/ผลิตแม่พันธุ์/ลูกหมูมาให้ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยในพื้นที่ ได้นำไปเลี้ยงต่อในราคาทุน และควรสนับสนุนงบประมาณบางส่วนหรือสินเชื่อปลอดดอกเบี้ยจากรัฐบาลเพื่อปรับปรุงฟาร์มรายย่อยให้ได้มาตรฐาน GFM และจัดทำระบบไบโอซิเคียวริตี้ ขณะที่ข่าวเกี่ยวกับข้อมูลการพบเชื้อ ASF เป็นสิ่งสำคัญ ควรต้องประชาสัมพันธ์ให้คนเลี้ยงหมูทราบอย่างทั่วถึง เพื่อสร้างความตระหนักและปฏิบัติตามหลักไบโอซิเคียวริตี้อย่างเข้มงวด เนื่องจากเชื้อตัวนี้ยังแฝงอยู่ในสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างปัญหาได้ทันทีที่เกิดความบกพร่องในการป้องกันโรค

สรุปว่ารัฐต้องทำอะไรบ้าง 

1) วางแผนและจัดการวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้เพียงพอ

2) กำกับดูแลและตรวจจับหมูเถื่อน

3) ส่งเสริมและสนับสนุนการทำฟาร์มได้มาตรฐาน และระบบไบโอซิเคียวริตี้

และ 4)หน้าที่ให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนได้รวดเร็วและถูกต้อง

เหล่านี้คือ “หน้าที่” ของรัฐที่ต้องทำในวันนี้ ให้สมกับเงินภาษีประชาชน

#ผศ.ดร.สุวรรณา สายรวมญาติ

ภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • \'สมาคมปศุสัตว์-เอกชน\'ชื่นชมรัฐเข้าใจภาคเกษตร เชื่อมั่นทีมเจรจาข้อมูลครบ 'สมาคมปศุสัตว์-เอกชน'ชื่นชมรัฐเข้าใจภาคเกษตร เชื่อมั่นทีมเจรจาข้อมูลครบ
  • รัฐบาลเข้ม!ตรวจ‘สารพิษตกค้าง’ในผัก-ผลไม้ ลดความเสี่ยง-อันตราย รัฐบาลเข้ม!ตรวจ‘สารพิษตกค้าง’ในผัก-ผลไม้ ลดความเสี่ยง-อันตราย
  • รัฐบาลปลื้ม‘สินค้าเกษตร’ขึ้นแท่นที่ 1 อาเซียน 8 เดือนส่งออกพุ่ง 4.3 แสนล้านบาท รัฐบาลปลื้ม‘สินค้าเกษตร’ขึ้นแท่นที่ 1 อาเซียน 8 เดือนส่งออกพุ่ง 4.3 แสนล้านบาท
  • รัฐบาลปลื้มโครงการจ้างงานกับกรมชลฯ ยอดทะลุกว่า 4 หมื่นคน รัฐบาลปลื้มโครงการจ้างงานกับกรมชลฯ ยอดทะลุกว่า 4 หมื่นคน
  • รัฐบาลยกระดับอุตฯโดรนเพื่อการเกษตร ผ่าน‘1 ตำบล 1 ดิจิทัลชุมชนโดรนใจ’ รัฐบาลยกระดับอุตฯโดรนเพื่อการเกษตร ผ่าน‘1 ตำบล 1 ดิจิทัลชุมชนโดรนใจ’
  • รัฐบาลขับเคลื่อนภาคเกษตรผ่าน 9 นโยบายสำคัญ เดินหน้ายกระดับเพิ่มรายได้ 3 เท่า ใน 4 ปี รัฐบาลขับเคลื่อนภาคเกษตรผ่าน 9 นโยบายสำคัญ เดินหน้ายกระดับเพิ่มรายได้ 3 เท่า ใน 4 ปี
  •  

Breaking News

‘2 นายอำเภอตราด’เร่งทำทะเบียนให้ผู้ที่ได้รับสัญชาติไทยตามคำสั่งมหาดไทย เผยมีเกือบ 2 พันคน

สายฝนกระหน่ำสำโรง น้ำท่วมขัง'ถนนเทพารักษ์'สมุทรปราการ

‘ยะลา’จัดพิธีสวนสนามและทบทวนคำปฏิญาณ เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ

ลูกบ้านรวมกลุ่มโวย‘ผญบ.’ไม่โปร่งใส สารภาพนำเงินกองทุนฯไปใช้ทางอื่น

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved