“ไม่ได้ห้ามขาย ขอแค่ร่วมมือย้ายจุด” เหตุการณ์รื้อย้ายแผงลอยที่ถนนสีลม ไม่ใช่เรื่องใหม่ กรุงเทพมหานคร (กทม.) รื้อย้ายแผงลอยมาตั้งแต่ 50 ปีที่แล้ว (2516) ปีที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนแรกเข้ารับตำแหน่ง จนถึงผู้ว่าราชการคนปัจจุบัน (คนที่ 17) สถานการณ์การค้าหาบเร่แผงลอย ณ ปี 2566 แม้จะแตกต่างอย่างมากจาก 50 ปีที่แล้ว แต่ก็ไม่โดยสิ้นเชิง เหตุผลคลาสสิคของการเบียดขับการค้าริมทาง คือ ความสกปรก ไม่เป็นระเบียบ และเป็นตัวแทนของความไม่ทันสมัย ไม่พัฒนา
กฎหมายสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหาบเร่แผงลอยในกรุงเทพมหานครมี 4 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ.2535 และ พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 สาระสำคัญ คือ การกำหนดความหมายของทางเท้า ห้ามการกระทำที่เป็นการกีดขวางบนทางเท้าโดยไม่มีเหตุอันควร
กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจออกข้อบัญญัติท้องถิ่นเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การควบคุมการจำหน่ายสินค้าในที่หรือทางสาธารณะและการให้ใบอนุญาต และห้ามขายหรือจำหน่ายสินค้าในสถานสาธารณะเว้นแต่เจ้าหน้าที่ประกาศผ่อนผันโดยความเห็นชอบของเจ้าพนักงานจราจร ทั้งนี้ ยังไม่นับข้อบัญญัติ และ ประกาศของกรุงเทพมหานครเกี่ยวกับการจำหน่ายสินค้าในที่สาธารณะซึ่งบังคับใช้ในช่วงเวลาต่างๆ ฉบับล่าสุดบังคับใช้ในปี 2563 ทั้งนี้ ความท้าทายในการบริหารจัดการหาบเร่แผงลอยใน กทม. เพิ่มขึ้นเป็นลำดับในห้วงเวลา 50 ปีที่ผ่านมา
จำนวนผู้ค้าริมทางเพิ่มขึ้นทั้งจากการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของระบบเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในกระบวนทัศน์การจ้างงาน โอกาสและความมั่นคงในการทำงานในสถานภาพ “ลูกจ้าง” ลดน้อยลง ในขณะที่ในมิติสังคมคนรุ่นใหม่หรือเจนใหม่หันมาสนใจการประกอบอาชีพอิสระมากขึ้น แม้การแข่งขันจากการขยายตัวของทุนขนาดใหญ่ในรูปของร้านสะดวกซื้อปรากฏชัดเจนขึ้น วิกฤตโรคระบาดเป็นอีกตัวเร่งหนึ่งที่ทำให้เกิดการขยายตัวของการประกอบอาชีพอิสระอย่างชัดเจน
จำนวนที่เพิ่มขึ้นของผู้ค้า เมื่อผนวกกับการปฏิบัติที่ขาดความรับผิดชอบของผู้ค้าในบางพื้นที่ และข้อจำกัดด้านสาธารณูปโภค ทำให้ทัศนะที่เป็นลบต่อหาบเร่แผงลอยถูกนำเสนอในสื่อสังคมชัดเจนขึ้น แม้ว่าจะมีผู้ค้าจำนวนไม่น้อยที่เคารพกฎเกณฑ์ ในระดับท้องถิ่น แนวทางการจัดการคือตรวจตรา จับปรับ เมื่อไม่ได้ผลไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด มาตรการไล่รื้อจึงถูกนำมาใช้ซ้ำซาก จนถึงขนาดจะไม่ให้มีการค้าหาบเร่แผงลอยในกรุงเทพมหานคร สิทธิในการประกอบอาชีพซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานไม่ได้ถูกกล่าวถึงในที่สุดมาตรการไล่รื้อก็ดูจะไม่ได้ผลในหลายพื้นที่
เมื่อสถานการณ์การแข่งขันระหว่างมวยคนละรุ่น คือทุนขนาดจิ๋วและทุนยักษ์ชัดเจนขึ้น เมืองเริ่มฟื้นจากโรคระบาด ประเด็นความไม่เป็นระเบียบ กีดขวางทางสัญจร ปัญหาขยะ สิ่งแวดล้อมคุณภาพสินค้าโดยเฉพาะอาหาร ขยายไปสู่ประเด็นการสร้างภูมิทัศน์ใหม่ให้ย่านและเมือง การเบียดขับการค้าริมทางกลับมาในรูปแบบเดิมคือไล่รื้อ พร้อมๆ กับการรณรงค์เรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่าน Global Compact Network ในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ด้วยวิสัยทัศน์ “สร้างเศรษฐกิจโลกที่ยั่งยืนและเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม ให้มีความสมดุล”
ท่ามกลางสถานการณ์นี้ ผู้ว่าฯ กทม. นำเสนอแนวทางการบริหารจัดการหาบเร่แผงลอยใน กทม.ทั้งการทำฐานข้อมูลผู้ค้า หาพื้นที่ประกอบอาชีพ ส่งเสริมให้ภาคประชาชนและเอกชนมีบทบาทในการดูแลพื้นที่การค้า และส่งเสริมความมั่นคงในอาชีพ ฯลฯ น่าติดตามว่า นโยบายหาบเร่แผงลอยของผู้ว่ากรุงเทพมหานครจะเป็นจริงได้อย่างไร!!!
หมายเหตุ : เผยแพร่ครั้งแรกทางเฟซบุ๊ก “Narumol Nirathron” ในชื่อบทความ “มหากาพย์หาบเร่แผงลอย : ความคงเส้นคงวาในการจัดการหาบเร่แผงลอยของกรุงเทพมหานคร” เมื่อวันที่ 25 ม.ค. 2566
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี