“มวยไทย” เป็นศิลปะการต่อสู้และการป้องกันตัวของชนชาติไทย มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมจากบรรพชนที่ได้รับการสืบทอดมาสู่ชนรุ่นปัจจุบัน มวยไทยได้ถือกำเนิดขึ้นมาเนิ่นนาน เป็นศิลปะการต่อสู้ที่มีลักษณะเฉพาะและเป็นเอกลักษณ์ของไทยอย่างแท้จริงและชัดเจน จนยากที่ชาติอื่นใดจะมาลอกเลียนแบบ หรือเคลมว่าเป็นของชาติตนได้
จุดกำเนิดของมวยไทย เท่าที่มีหลักฐานอ้างอิง เริ่มต้นการฝึกฝนจากบรรดาทหาร เนื่องจากในสมัยก่อนไทยมีการรบพุ่งและสู้รบกับข้าศึกบ่อยครั้ง และการต่อสู้ก็ใช้ดาบสองมือและมือเดียวเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นการรบที่ประชิดตัวมากเกินไป คู่ต่อสู้เข้าถึงตัวและเพลี่ยงพล้ำได้ง่าย ทหารไทยจึงคิดว่าควรมีการถีบและเตะคู่ต่อสู้เอาไว้เพื่อป้องกันตัว และพร้อมกันก็สามารถตอบโต้ทำให้คู่ต่อสู้เสียหลักและพ่ายแพ้ได้ ต่อมาก็ได้พัฒนาเป็นศิลปะการต่อสู้แสดงโชว์ในงานเทศกาลต่างๆ ซึ่งเป็นที่ถูกอกถูกใจชาวบ้าน พวกเขาจึงหันมาฝึกหัดมวยไทยกันมากขึ้น ดังนั้น วิชามวยไทยในสมัยนั้นจึงประกอบไปด้วยการฝึกฝนเพลงดาบและวิชามวยไทยไปพร้อมกัน เพื่อไปทำหน้าที่เป็นทหารรับใช้ชาติ แต่เมื่อพ้นจากหน้าศึกสงคราม ก็จะมาชกมวยเพื่อความสนุกสนาน ชกกันในงานเทศกาล เกิดมีการท้าทาย และมีการพนันขันต่อกันขึ้นตามมา
มวยไทยในสมัยอยุธยาตอนต้น ยังเป็นชกกันด้วยหมัดเปล่าๆ ยังไม่มีการคาดเชือก และคนไทยที่ทำชื่อเสียงให้กับไทยมากที่สุดในยุคนั้นคือ “นายขนมต้ม”ซึ่งได้ใช้วิชามวยไทยต่อสู้พม่าจนชนะขาดลอยถึง 10 คน นายขนมต้มจึงเปรียบเสมือนบิดาของวิชามวยไทย เพราะทำให้คนไทยมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากขึ้นและชื่อเสียงด้านมวยไทยของคนไทยก็ได้เลื่องลือมาจนถึงปัจจุบัน
ในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา มวยไทยเป็นที่นิยมและฝึกกันอย่างกว้างขวาง พระมหากษัตริย์ที่มีฝีมือทางมวยไทยในขั้นยอดเยี่ยมคือพระเจ้าเสือ พระองค์ได้ปลอมตัวเป็นนักมวยกรุงศรีอยุธยา ชกเอาชนะนักมวยฝีมือดีจากเมืองวิเศษไชยชาญถึงสามคน ไม่เพียงเท่านั้น ครั้งยังเป็นขุนหลวงสรศักดิ์ ก็ได้ทรงนำศิลปะมวยไทยปกป้องราชอาณาจักรให้รอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของชาวต่างชาติ และจากการที่พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถด้านการชกมวย และมีหลักฐานว่า ทรงคิดท่าแม่ไม้ กลมวยไทยขึ้นมาเป็นแบบเฉพาะพระองค์ เรียกว่า “มวยไทยตำรับพระเจ้าเสือ” จึงได้รับการขนานพระนามว่าเป็น“พระบิดาแห่งมวยไทย”
ในสมัยอยุธยาตอนปลาย มวยไทยเริ่มชกแบบคาดเชือก โดยเชือกที่ใช้คาดมือตอนนั้น มีการใช้น้ำมันชุบเศษแก้วละเอียดด้วย ชกถูกตรงไหนก็เป็นแผลตรงนั้น มวยไทยในสมัยนั้นจึงค่อนข้างอันตราย จนกระทั่งสมัยรัตนโกสินทร์ ก็มีการจัดการแข่งขันชกมวยไทย และมีสังเวียนการต่อสู้อย่างจริงจัง เช่นที่ “สวนกุหลาบ”ที่ยังเป็นการชกแบบคาดเชือก “ท่าช้าง” ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อจากคาดเชือกมาเป็นสวมนวม “สวนสนุก” ที่ใช้นวมในการชก และ “หลักเมืองและสวนเจ้าเชษฐ์” การชกมวยที่ทหารสนับสนุน และยุติลงเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 จนมายุคปัจจุบันที่เรามีเวทีราชดำเนิน เวทีลุมพีนี และยังมีเวทีมวยที่เปิดการแข่งขันถาวรและชั่วคราวทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด มวยไทยได้รับการชื่นชอบและให้ความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก จนเกิดสมาคมมวยไทยและค่ายมวยต่างๆทั่วโลกเกิดขึ้นกว่า 10,000 ค่าย
มวยไทย คือ หนึ่งในมรดกภูมิปัญญาวัฒนธรรมไทย ศิลปะป้องกันตัวและกีฬา ที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติตั้งแต่ปี 2553 ในปีนี้ กระทรวงวัฒนธรรม มีภารกิจสำคัญคือการผลักดันมวยไทยเข้าสู่การขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติต่อยูเนสโกให้ได้ เพื่อให้คนไทยและชาวโลกได้เห็นความสำคัญองค์ความรู้ด้านมวยไทย และเผยแพร่เกียรติภูมิไปทั่วโลก จึงอยากฝากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องและคนไทยทุกคนได้ร่วมช่วยกันเสนอแนะและผลักดันมวยไทยให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโกได้สำเร็จในเร็ววัน
“วันมวยไทย” 6 กุมภาพันธ์ กระทรวงวัฒนธรรมได้จัดกิจกรรมอาทิ พิธีบวงสรวงสมเด็จพระเจ้าเสือ พิธีครอบครูมวยไทย พิธีไหว้ครูร่ายรำมวยไทยโดยครูมวยไทยและต่างชาตินักมวยและนักเรียนมวยไทย 668 คน การแสดงคีตะมวยไทย การแสดงศิลปะแม่ไม้-ลูกไม้มวยไทย เป็นต้น ส่วนภาคบ่ายเป็นการเสวนาหัวข้อ “มวยไทย :ที่มาและความสำคัญกับการขึ้นทะเบียนยูเนสโก” จัดที่ห้องประชุมอาคารเครื่องทองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา จ.พระนครศรีอยุธยา ผู้สนใจศิลปะมวยไทย ไม่ควรพลาดร่วมชมกิจกรรมที่น่าสนใจในวันมวยไทยดังกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี