ยูเอ็นยกประเทศไทย อันดับ2ของอาเซียน ประเทศที่มีความสุข

ยูเอ็นยกประเทศไทย อันดับ2ของอาเซียน ประเทศที่มีความสุข

วันอาทิตย์ ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566, 06.00 น.

ยูเอ็นยกประเทศไทย

อันดับ2ของอาเซียน

ประเทศที่มีความสุข

สหประชาชาติจัดอันดับไทยเป็นประเทศที่มีความสุขอันดับ 53 ของโลก อันดับ 2 อาเซียน ขณะฟินแลนด์ครองอันดับ 1 ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก ส่วนสิงคโปร์ครองอันดับ 1 อาเซียน ขณะเมียนมาได้คะแนนรั้งท้ายอาเซียน-อัฟกานิสถานมีความสุขน้อยที่สุดในโลก

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ในรายงานดัชนี World Happiness Report หรือรายงานเกี่ยวกับความสุขโลกที่จัดทำโดย United Nations Sustainable Development Solutions Network หรือเครือข่าวว่าด้วยวิธีการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติระบุว่า ได้มีการจัดอันดับให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีความสุดที่สุดในโลกเป็นอันดับที่ 53 โดยมีคะแนนความสุขอยู่ที่ 5.985 คะแนน และยังเป็นประเทศที่มีความสุขเป็นอันดับสองของอาเซียน


สำหรับประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือว่าอาเซียนพบว่าประเทศที่มีความสุขมากที่สุดในภูมิภาคยังเป็นประเทศสิงคโปร์ อยู่ในอันดับที่ 32 โดยมีคะแนนที่ 6.377 คะแนน ส่วนฟิลิปปินส์อยู่ในอันดับที่ 60 หลังจากไทยมีคะแนนความสุขอยู่ที่ 5.88 คะแนน ประเทศเวียดนามอยู่ในอันดับที่ 77 มีคะแนน 5.411 คะแนน ประเทศมาเลเซียอยู่ในอันดับที่ 79 มีคะแนนอยู่ที่ 5.384 คะแนน ประเทศอินโดนีเซียอยู่ในอันดับที่ 80 มีคะแนน 5.345 คะแนน ประเทศลาวอยู่ในอันดับที่ 98 มีคะแนนอยู่ที่ 5.03 คะแนน ประเทศกัมพูชาอยู่ในอันดับที่ 112 มีคะแนน 4.83 คะแนน และประเทศเมียนมามีคะแนนรั้งท้ายสุดในอาเซียนอยู่ในอันดับที่ 123 ของโลก มีคะแนนความสุขอยู่ที่ 4.426 คะแนน

ส่วนประเทศที่มีค่าความสุขมากเป็นอันดับหนึ่งของโลกได้แก่ประเทศฟินแลนด์ มีคะแนนความสุขอยู่ที่ 7.842 คะแนน และประเทศที่มีคะแนนความสุขรั้งท้ายได้แก่ประเทศอัฟกานิสถาน อยู่ในอันดับที่ 146 มีคะแนนความสุข 2.523 คะแนน

อนึ่งการจัดอันดับความสุขมีหลายปัจจัยที่นำมาประเมิน เพื่อวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงระดับความสุขของคนในประเทศนั้นๆ ประกอบด้วย รายได้ต่อหัวของประชากร (GDP per capita) แรงสนับสนุนจากสังคม (Social support) อายุคาดเฉลี่ยของการมีสุขภาพดีตั้งแต่แรกเกิด (Healthy life expectancy at birth) เสรีภาพในการเลือกดำเนินชีวิต (Freedom to make life choices) ความเอื้ออาทรต่อกันในสังคม (Generosity) มุมมองหรือการรับรู้ที่มีต่อการทุจริตในสังคม (Perceptions of corruption)

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบและยินดีกับผลการจัดอันดับดัชนีชี้วัดประเทศที่มีอิทธิพลในเอเชีย (The Asia Power Index 2023) จาก Lowy Institute สถาบันค้นคว้าวิจัยด้านนโยบายระหว่างประเทศของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งไทยอยู่ในอันดับที่ 10 ของประเทศที่มีอิทธิพลที่สุดในเอเชีย ด้วยคะแนนรวม 18.7 คะแนน จากทั้งหมด 26 ประเทศและเขตเศรษฐกิจ โดยอันดับที่ 1 – 9 คือ สหรัฐ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย รัสเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ตามลำดับ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ผลการจัดอันดับดังกล่าว พิจารณาจากการคำนวนคะแนนจากตัวชี้วัด 8 ด้านหลัก ได้แก่ 1. ความสามารถทางเศรษฐกิจ (Economic capability) 2. ความสามารถทางการทหาร (Military Capability) 3. ความยืดหยุ่น (Resilience) 4. แหล่งทรัพยากรในอนาคต (Future resources) 5. ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ (Economic relationships) 6. เครือข่ายด้านความมั่นคง (Defence networks) 7. อิทธิพลทางการทูต (Diplomatic influence) และ 8. อิทธิพลทางวัฒนธรรม (Cultural influence)

นอกจากนี้ รายงานยังระบุเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยมีความเข้มแข็งที่สุดในตัวชี้วัดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และมีการปรับปรุงมากที่สุดในด้านแหล่งทรัพยากรในอนาคตและการมีมาตรการต่าง ๆ ผ่านอิทธิพลทางการทูต แม้บางด้านจะมีอันดับที่ลดลงเนื่องจากสถานการณ์โควิด -19 แต่ในภาพรวมถือได้ว่า ไทยมีอิทธิพลในภูมิภาคมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากมีทรัพยากรที่เพียงพอ สอดคล้องกับดัชนีด้านพลังงาน (Power gap) ซึ่งไทยมีพัฒนาการต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2565

“นายกรัฐมนตรีชื่นชมผลการจัดอันดับดังกล่าว สะท้อนความเชื่อมั่นของประเทศไทยในเวทีนานาชาติ นับเป็นผลสำเร็จจากการขับเคลื่อนนโยบายด้านต่าง ๆ ของรัฐบาล ซึ่งต้องขอบคุณการบูรณาการความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมเชื่อมั่นว่า ด้วยศักยภาพของประเทศไทยที่มีความพร้อมในทุกมิติ ทั้งทรัพยากร และการเตรียมความพร้อมแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เน้นแนวทางการเดินหน้าแบบสมดุล ใช้พลังงานอย่างยั่งยืน ตลอดจนรัฐบาลได้วางแนวทางการพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เตรียมพร้อมรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ก้าวหน้า ซึ่งรวมไปถึงการรองรับการค้าการลงทุน ไทยจะเป็นประเทศที่โดดเด่นมีความสำคัญทุกด้านในภูมิภาคโดยเฉพาะทางเศรษฐกิจ” นายอนุชากล่าว

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top