รบ.ตั้งศูนย์ฯแก้ไฟป่า-หมอกควัน

ยกระดับป้องกันฝุ่นพิษ

เหนือ-อีสานสีแดงทะลุ137มคก.

เตือนPM2.5สะสมยาวถึง16มี.ค.

นายกฯขอปชช.ร่วมมือหยุดเผา

นายกฯยันรบ.สนใจแก้ปัญหาฝุ่นต่อเนื่อง ขอความร่วมมือ ปชช.โดยเฉพาะเกษตรกรหยุดเผาชี้ไม่อยากใช้กฎหมาย เพราะเห็นใจส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร ด้าน “บิ๊กป้อม” สั่งเข้มยกระดับจัดการ PM2.5 ตั้งศูนย์ฯแก้ปัญหาไฟป่าหมอกควันภาคเหนือ ย้ำทุกหน่วยงานทำงานเป็นเอกภาพ ด้านจิสด้าเผยข้อมูลดาวเทียมจุดความร้อนไทยลดลง แต่ยังพบมากในเขตป่าอนุรักษ์ เมืองกาญจน์ ขณะที่ค่าฝุ่นPM 2.5ของไทยเพิ่มต่อเนื่องวัดได้รายวันเกินมาตรฐาน 55 จว.เหนือ-อีสานหนัก ทะลุร้อยมคก./ลบ.ม. ส่วนกทม.อ่วม70พื้นที่ บึงกุ่มแชมป์ ส่งผลกระทบสุขภาพ แนวโน้มฝุ่นพุ่งต่อเนื่องถึง16มี.ค.

เมื่อวันที่ 9มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือPM 2.5 โดยเฉพาะที่จ.เชียงใหม่ พุ่งเกินมาตรฐานติดอันดับเมืองมลพิษโลกว่า ตนจะไปลงพื้นที่ สำหรับมาตรการเฉพาะหน้ามีหลายส่วนดำเนินการด้วยกัน ทั้งเรื่องของยานพาหนะ การเผาวัชพืชที่กำหนดเวลาการเผา แต่พอรู้ว่าวันไหนจะห้ามก็มีการชิงเผาก่อน ซึ่งทำให้ปริมาณฝุ่น PM 2.5 สูงขึ้น วันนี้แก้ปัญหาโดยการพ่นน้ำบ้าง และมาตรการที่พอจะทำได้

ขอร้องหยุดเผา-เปรยไม่อยากให้กม.

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ไม่อยากลงโทษคนเผาเพราะเป็นเกษตรกร จึงได้แต่ขอร้องว่าผิดกฎหมายอย่าทำเลย อีกทั้ง ยังมีฝุ่นจากต่างประเทศมาอีกมาก เราต้องร่วมมือกัน วันนี้ปัญหาแต่ละประเทศมีไม่เหมือนกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือใครที่ร่วมมือกันได้ อีกทั้ง ขอให้ดูเรื่องยานพาหนะของตัวเอง ควันดำ หรือเรื่องการเผาต้องลดลงให้ได้ วันนี้จึงนำไปสู่การทำพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมนำมาเป็นต้นทุนเชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้า เรากำลังเดินหน้าสิ่งเหล่านี้ คิดว่าเราทำได้ดีและระยะต่อไปก็ดีขึ้นต่อเนื่อง วันนี้จึงอยากขอร้องว่า อย่าเผาเลย

ยันรบ.แก้ปัญหามาตลอด

“นายกฯเห็นใจ แต่ขอให้มองภาพรวมที่จะทำให้เกิดความเสียหาย ซึ่งจะบอกว่ารัฐบาลไม่สนใจปัญหา PM 2.5 ไม่ได้ เราทำทุกปีบางปีลดลง บางปีก็เพิ่มขึ้นต้องไปดูว่าเพิ่มขึ้นจากตรงไหนและต้องแก้จุดนั้น โดยเฉพาะการทำการเกษตรแบบเผา ย้ำว่าต้องขอร้อง ผมไม่อยากใช้กฎหมาย หากใช้กฎหมายก็ผิดกฎหมายหมดและมีปัญหาหมด ไม่อยากให้ใครเดือดร้อนแต่ต้องนึกถึงคน คุณภาพชีวิตคนอื่น และสุขภาพคนอื่นด้วย อากาศเป็นพิษไม่ใช่รัฐบาลไม่สนใจ พูดแบบนี้ไม่ได้”นายกฯกล่าว

ตั้งศูนย์แก้ไฟป่าหมอกควันภาคเหนือ

ด้านพล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกประจำตัวรองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จากสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นและเกินค่ามาตรฐานหลายพื้นที่ มีผลต่อสุขภาพ โดยเฉพาะ 17 จังหวัดภาคเหนือ พื้นที่ชุมชนเมือง รวมทั้งกรุงเทพมหานครฯและปริมณฑล โดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีสั่งให้กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม (ทส.)ประสานทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามแผนเฉพาะกิจ ด้วยการสื่อสารเชิงรุก และยกระดับปฏิบัติการและสร้างการมีส่วนร่วมแก้ปัญหาเร่งด่วนใน 3 พื้นที่ ทั้งพื้นที่เมือง พื้นที่ป่าและพื้นที่การเกษตร ใน 7 มาตรการ ให้เร่งขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการวาระแห่งชาติ และการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ปัญหาไฟป่าและหมอกควันส่วนหน้าภาคเหนือ การสร้างเครือข่ายชุมชนปลอดคนเผาในพื้นที่เสี่ยง การบริหารจัดการเชื้อเพลิงครบวงจร ชิงเก็บลดเผาในพื้นที่โล่ง การใช้กลไกทุกระดับ โดยเฉพาะระดับพื้นที่คุมเข้มมาตรการทางกฏหมายและขอความร่วมมือประชาชน การลดจุดความร้อนในพื้นที่ป่า การผลักดันกลไกระหว่างประเทศ รวมทั้งดึงทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม

ย้ำทุกจว.ออกประกาศห้ามเผา

พล.อ.คงชีพกล่าวด้วยว่า พล.อ.ประวิตรยังกำชับในพื้นที่เมือง ให้กำหนดมาตรการนำรถเก่าออกจากระบบ ทดแทนด้วยรถใหม่มลพิษต่ำ พื้นที่เกษตรให้เข้มงวดพื้นที่เพาะปลูก อ้อย ข้าวและข้าวโพด และพื้นที่ป่าให้ติดตามเรื่องจุดความร้อน พร้อมสั่งการเข้มและขอความร่วมมือ กระทรวงมหาดไทย (มท.) กำชับ จังหวัดออกประกาศห้ามเผาในทุกพื้นที่ และใช้กลไกระดับพื้นที่ลงกำกับเข้มทำความเข้าใจกับเกษตรกร ขอให้ ทส.พิจารณาปิดป่าในพื้นที่ไฟไหม้ป่าและระดมสรรพกำลัง และเครือข่ายอาสาสมัครเข้าดับไฟป่า ให้ กระทรวงอุตสาหกรรมขอความร่วมมือโรงงานลดกำลังการผลิตในภาวะเสี่ยงและงดรับพืชเกษตรที่มาจากการเผา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขอให้พิจารณาปฏิบัติการฝนหลวงเมื่อมีโอกาส ขอให้ กระทรวงสาธารณสุขเข้าไปดูแลให้คำแนะนำประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงต่อสุขภาพ รวมทั้งให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้มบังคับใช้กฎหมาย ขอความร่วมมือและสื่อสารเชิงรุกกับประชาชนและกลุ่มเป้าหมายที่เป็นต้นเหตุ ขอให้ทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพในมาตรการที่กำหนดร่วมกันให้เป็นผล เพื่อป้องกันและลดปัญหาฝุ่นละออกขนาดเล็กในสถานการณ์วิกฤตของฝุ่นละอองขาดเล็กที่กำลังเกิดขึ้น

ไทยพบจุดความร้อนลดลง

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)หรือ GISTDA เปิดเผยข้อมูลจากดาวเทียมซูโอมิ เอ็นพีพี (Suomi NPP)ว่า ประเทศไทยพบจุดความร้อน 1,237 จุด ขณะที่เมียนมายังพบจุดความร้อนมากที่สุดถึง 4,949 จุด ลาว 2,913 จุด กัมพูชา 1,888 จุด เวียดนาม 426 จุด และมาเลเซีย 18 จุด สำหรับจุดความร้อนในไทยส่วนใหญ่พบในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 517 จุด พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ 295 จุด พื้นที่เกษตร 195 จุด พื้นที่เขต สปก. 111 จุด พื้นที่ชุมชนและอื่นๆ 107 จุด และพื้นที่ริมทางหลวง 12 จุด ส่วนจังหวัดที่พบจุดความร้อนมากที่สุดคือ กาญจนบุรี 221 จุด

PM2.5พุ่งระดับส้ม-แดง

จิสด้ายังรายงานผลตรวจวัดค่าฝุ่น PM 2.5 เมื่อตรวจสอบจากแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” ข้อมูล เวลา 10.00 น. ที่ผ่านมา พบว่าหลายพื้นที่ของประเทศอยู่ในระดับสีส้มและสีแดง แสดงให้เห็นว่าเกินค่ามาตรฐานที่กำหนด และเริ่มส่งผลต่อสุขภาพ อาทิ กำแพงเพชร, พะเยา, สุโขทัย, น่าน, ลำพูน, แพร่, เลย, อุตรดิตถ์, ลำปาง, ลพบุรี เป็นต้น ขณะที่ทุกพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร อยู่ระดับสีส้มเช่นกัน ค่าฝุ่น PM 2.5 สูงสุดที่เขตบางนา ประเวศ บางรัก คลองเตย พระโขนง สาทร วัฒนา ยานนาวา ก่อนออกจากบ้านควรสวมหน้ากากอนามัย ป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจ

ชี้ไฟป่าหมอกควันฝุ่นข้ามปท.ซ้ำเติม

สิ่งที่ต้องเฝ้าระวังที่มักจะมากับเหตุการณ์ไฟป่าและจุดความร้อนคือ PM 2.5 สถานการณ์การจุดความร้อนจากประเทศเพื่อนบ้านอาจส่งผลให้เกิด PM 2.5 ได้ในพื้นที่บริเวณชายแดน เพราะได้รับอิทธิพลจากกระแสลมที่จะพัดผ่านเข้ามา ปัญหาไฟป่าหมอกควันส่งผลกระทบให้ระบบต่างๆ ของประเทศมาตลอด โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจ ระบบสังคม

ดังนั้น ในอนาคตอันใกล้นี้ ประเทศไทยกำลังจะได้ใช้ระบบ THEOS-2 อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่ง 1 ในภารกิจสำคัญของระบบนี้ คือการสำรวจ วิเคราะห์ ติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นหรือคาดว่าจะเกิดขึ้น ได้รวดเร็วแม่นยำ เพื่อการสนับสนุนข้อมูลสำคัญให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อมูลไปใช้วางแผน ป้องกัน บรรเทา และแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น

55จังหวัดฝุ่นเกินค่ามาตรฐาน

สอดคล้องกับศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ รายงานการติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศประจำวันที่ 9 มีนาคมว่า ภาพรวม PM 2.5 ในประเทศพบเกินค่ามาตรฐานใน จ.ปทุมธานี กรุงเทพฯ จ.นนทบุรี จ.นครปฐม จ.สมุทรสาคร จ.สมุทรปราการ จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ จ.น่าน จ.แม่ฮ่องสอน จ.พะเยา จ.ลำพูน จ.ลำปาง จ.แพร่ จ.อุตรดิตถ์ จ.สุโขทัย จ.ตาก จ.พิษณุโลก จ.กำแพงเพชร จ.พิจิตร จ.เพชรบูรณ์ จ.นครสวรรค์ จ.อุทัยธานี จ.สิงห์บุรี จ.ลพบุรี จ.สระบุรี จ.อ่างทอง จ.สุพรรณบุรี จ.พระนครศรีอยุธยา จ.กาญจนบุรี จ.ราชบุรี จ.สมุทรสงคราม จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.ปราจีนบุรี จ.สระแก้ว จ.ฉะเชิงเทรา จ.ชลบุรี จ.ระยอง จ.จันทบุรี จ.ตราด จ.บึงกาฬ จ.หนองคาย จ.เลย จ.อุดรธานี จ.นครพนม จ.หนองบัวลำภู จ.มุกดาหาร จ.ขอนแก่น จ.กาฬสินธุ์ จ.ร้อยเอ็ด จ.ชัยภูมิ จ.อุบลราชธานี จ.ศรีสะเกษ จ.นครราชสีมา และจ.บุรีรัมย์

เหนือ-อีสานแดงเถือกเกินร้อยมคก.

โดยภาคเหนือ เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ตรวจวัดได้ 66-137 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 38-125 มคก./ลบ.ม. ภาคกลางและตะวันตก เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ตรวจวัดได้ 47-110 มคก./ลบ.ม. ภาคตะวันออก เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 42-80 มคก./ลบ.ม. ภาคใต้ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ตรวจวัดได้ 17- 28 มคก./ลบ.ม. กรุงเทพมหานครและปริมณฑลโดยสถานีตรวจวัดของกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ร่วมกับ กทม. เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 50-110 มคก./ลบ.ม. ดังนั้น ประชาชนทั่วไปควรเฝ้าระวังสุขภาพ ลดเวลาทำกิจกรรมกลางแจ้ง ใส่หน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกบ้าน

เตือนกทม.-17จว.เหนือฝุ่นพุ่งถึง16มีค.

ขณะที่กองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษรายงานผลคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลระหว่างวันที่ 10-16 มีนาคมว่า วันที่ 10 มีนาคมพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลอาจมีแนวโน้มฝุ่นละอองสูงขึ้นได้บางพื้นที่ หลังวันที่ 11 มีนาคมเป็นต้นไปสถานการณ์ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากลมทางใต้ช่วยพัดฝุ่นละอองออกจากพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ช่วงระหว่างวันที่ 14-16 มีนาคม เป็นช่วงควรเฝ้าระวัง เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากฝุ่นละอองข้ามพื้นที่ได้ พื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือมีแนวโน้มฝุ่นละอองขึ้นสูง ระหว่างวันที่ 10-14 มีนาคม

กทม.ฝุ่นพุ่ง70พื้นที่-บึงกุ่มหนักสุด

ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศ รายงานการตรวจวัดคุณภาพอากาศมีค่าเฉลี่ยวัดได้ 56-96 มคก./ลบ.ม. พบว่าเกินมาตรฐาน 70 พื้นที่ สูงสุดอยู่ที่เขตบึงกุ่มวัดได้ 96 มคก./ลบ.ม. รองลงมาเขตสาทรวัดได้ 83 มคก./ลบ.ม. เขตทวีวัฒนาและเขตประเวศ วัดได้ 82 มคก./ลบ.ม. ที่เหลือมีค่าเกิน 70 มคก./ลบ.ม.อยู่ 26 พื้นที่ ถือว่ากระทบต่อสุขภาพปานกลาง ทั้งนี้ ช่วงวันที่ 9-13 มีนาคม การระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างอ่อน สภาวะอากาศปิดต่อเนื่อง ส่งผลให้ฝุ่น PM 2.5 สะสมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ควรลดระยะเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็น