เชือด‘นายพล’และพวก แจ้งความเอาผิดเอี่ยวแก๊งยาเสพติด-ค้าอาวุธปืน
15 มีนาคม 2566 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) แถลงดำเนินคดีเด็ดขาด พล.ต.ต.-ผกก. และร้อยเวร กรณีเรียกรับเงินช่วยเหลือผู้ต้องหาคดียาเสพติด และอาวุธสงคราม สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2565 นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้ยื่นหนังสือพร้อมเอกสารหลักฐานถึง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ขอให้ตรวจสอบกรณีข้าราชการตำรวจในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส มีส่วนเกี่ยวข้องในการเรียกรับสินบนแลกกับการให้ความช่วยเหลือผู้ต้องหาคดียาเสพติด และอาวุธปืนสงครามเพื่อให้ไม่ถูกดำเนินคดี
นอกจากนี้มีการออกบัตรแหล่งข่าว หรือบัตรเบ่ง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ขบวนการยาเสพติด รวมทั้งคดีลอบฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ สภ.สุไหงโก-ลก รวมถึงข้าราชการฝ่ายปกครองที่ให้ความช่วยเหลือในการออกใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืนให้กับขบวนการค้ายาเสพติด เบื้องต้นพบว่ามีมูลความจริงเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้องและช่วยเหลือผู้ต้องหาตามพยานหลักฐานที่ได้รับจากนายอัจฉริยะ
ต่อมา ผบ.ตร.มีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวน เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานในการสืบสวนดังกล่าว โดยมี พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนจากพยานหลักฐานที่ได้รับจากนายอัจฉริยะ ตั้งข้อสังเกตและประกอบพยานหลักฐาน 4 ประเด็น
ประเด็นที่ 1 กรณีคดีลอบสังหาร ส.ต.ต.ธนกฤต ฤกษ์ดี เมื่อวันที่ 16 ก.ค.2565 ขณะปฏิบัติหน้าที่สายตรวจ ต่อมามีการจับกุมนายฮาฟิต อายุ 19 ปี ผู้ต้องหาให้การซัดทอดว่าได้รับการจ้างวานจากนายชญานนท์ อายุ 25 ปี แต่มีการให้การช่วยเหลือจนนายชญานนท์ ไม่ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
ประเด็นที่ 2 กรณีข้าราชการปกครองอำเภอสุไหงโก-ลก ให้มีการออกใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืนให้กับกลุ่มผู้ต้องหาซึ่งมีประวัติเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด โดยไม่มีการตรวจสอบประวัติและออกให้กับบุคคลเดียวจํานวนหลายกระบอก โดยมีการออกใบอนุญาตให้กับผู้ต้องหาสูงสุดถึง 3 กระบอกภายในวันเดียว จากการสืบสวนพบว่านายชญานนท์ ผู้ต้องหารู้จักกับข้าราชการปกครองอำเภอสุไหงโก-ลก โดยได้ประสานขอใบอนุญาตมีและใช้อาวุธปืน หรือใบ ป.4 โดยได้มีการจ่ายเงินค่าอำนวยความสะดวกให้กระบอกละ 5,000-10,000 บาท จำนวน 7 กระบอก รวมเป็นเงิน 40,000 บาท
ประเด็นที่ 3 กรณีที่อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส กับพวก ให้การช่วยเหลือกลุ่มผู้ต้องหาให้พ้นจากการถูกดำเนินคดี จากการสืบสวนพบว่า เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.64 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.ภ.จว.สงขลา ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. และเจ้าหน้าที่ทหาร ร่วมกันจับกุมนายอาชิ อายุ 33 ปี พร้อมกัญชาอัดแห่งรวม 128 กก. ส่งดำเนินคดีพื้นที่ สภ.ตากใบ ภ.จว.นราธิวาส สอบถามผู้ต้องหาให้การซัดทอดว่าได้รับการว่าจ้างจากนายชญานนท์ ให้ขนส่งกัญชาดังกล่าวไปที่ประเทศมาเลเซีย เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน จนต่อมาเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.2565 ได้มีการขอหมายเข้าค้นบ้านของนายชญานนท์ พบนายชญานนท์ กับพวกรวม 6 คน พร้อมอาวุธปืน AK-47 อาวุธปืนลูกซอง และอาวุธปืนพกสั้นรวม 3 กระบอก จึงได้จับกุมดำเนินคดี แต่ต่อมาพนักงานสอบสวน กลับสั่งไม่ฟ้องนายชญานนท์ กับพวก แต่สั่งฟ้อง 1 ในผู้ต้องหาเท่านั้น จากการสืบสวนกรณีดังกล่าวตรวจพบความเชื่อมโยงระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและกลุ่มผู้ต้องหา ทั้งด้านการติดต่อสื่อสารทางโทรศัพท์และเส้นทางการเงิน จึงเชื่อได้ว่ามีการช่วยเหลือผู้ต้องหาให้พ้นจากการถูกดำเนินคดี
ประเด็นที่ 4 กรณีอดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส ได้มีการออกบัตรแหล่งข่าว หรือบัตรเบ่ง ซึ่งปรากฏชื่อและเบอร์ โทรศัพท์ของอดีตผู้การฯ โดยจะใช้ในการแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้ได้รับการอำนวยความสะดวกในกรณีถูกเรียกตรวจ ทำให้กลุ่มผู้ต้องหากล้าพกอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย และก่อเหตุทำร้ายร่างกาย รปภ.โรงพยาบาลสุไหงโก-ลก โดยในคดีดังกล่าวพบว่าพนักงานสอบสวนถูกแทรกแซงดุลพินิจในการดำเนินการทางคดี โดยอดีตผู้การฯ มีการโทรสั่งการให้ปรับเปลี่ยนพฤติการณ์ทางคดี เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อผู้ต้องหา พฤติการณ์ดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ภ.จว.นราธิวาส ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความยากลำบากมากขึ้น
ทั้งนี้ 4 ประเด็นที่นายอัจฉริยะ ตั้งข้อสังเกตและมอบพยานหลักฐานให้กับคณะพนักงานสืบสวนได้ทำการ รวบรวมพยานหลักฐานและแสวงหาข้อเท็จจริง ล่าสุดคณะพนักงานสืบสวนมีมติให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งคดีอาญาและคดีวินัย คดีอาญากับนายตำรวจระดับ พล.ต.ต. 1 นาย , พ.ต.อ. 1 นาย และ ร.ต.อ. 1 นาย , อดีตนายอำเภอ และนายชญานนท์ ผู้ต้องหาคดีครอบครองยาเสพติดและอาวุธปืน ในความผิดฐาน “เป็นเจ้าพนักงาน เรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือโยชน์อื่นใดๆ, ปฏิบัติหรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และ เป็นเจ้าพนักงานยุติธรรมกระทำการเพื่อจะช่วยเหลือบุคคลใดให้มีต้องรับโทษฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 157 และ 200 โดยได้มีการมอบผู้แทนเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน บก.ปปป. เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2566 เรียบร้อยแล้ว
ส่วนทางวินัย มีมติให้ดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 13 นาย โดยเป็นคดีวินัยร้ายแรง 3 ราย และคดีวินัยไม่ร้ายแรง 10 นาย โดยคณะพนักงานสืบสวนได้ส่งรายละเอียดพยานหลักฐานและรายชื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้กองวินัยพิจารณาข้อบกพร่องและดำเนินการทางวินัย แล้วเช่นกัน
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวย้ำว่า จะต้องดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างเด็ดขาดไม่มีละเว้นแม้จะเป็นข้าราชการระดับสูงก็ตาม
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี